สารพัดวิธีเลิกติด "โซเซียลมีเดีย" เซเลบหนุ่มอาการหนัก "ไม่ตาย ไม่เลิก"

สารพัดวิธีเลิกติด "โซเซียลมีเดีย" เซเลบหนุ่มอาการหนัก "ไม่ตาย ไม่เลิก"

สารพัดวิธีเลิกติด "โซเซียลมีเดีย" เซเลบหนุ่มอาการหนัก "ไม่ตาย ไม่เลิก"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สารพัดวิธีเลิกติด "โซเซียลมีเดีย" เซเลบหนุ่มอาการหนัก "ไม่ตาย ไม่เลิก"

ดูเหมือนว่าสังคมโลกยุคปัจจุบัน "โทรศัพท์มือถือ" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ "เครื่องมือสื่อสาร" ธรรมดาทั่วไปเหมือนสมัยก่อน แต่ได้ถูกยกระดับจากบรรดาผู้ใช้ส่วนใหญ่ทั่วโลกให้กลายมาเป็น "อวัยวะ" ชิ้นที่ 33 ของร่างกายสำหรับบางคนที่ไม่อาจขาดจากกันได้ในใช้ชีวิตประจำวัน

เนื่องจากโทรศัพท์มือถือที่เกือบทุกแบรนด์ได้อัพเกรดตัวเองขึ้นมาเป็น "สมาร์ทโฟน" สามารถเป็นตัวช่วยในการทำงานและอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้แทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารข้ามพื้นที่ อัพโหลดรูปภาพ หรือการรับ-ส่งไฟล์งาน

ประกอบกับการพัฒนาระบบโครงข่ายสัญญาณของผู้ให้บริการที่แข่งกันเร็วติดจรวดทั้ง 3G และ 4G แถมราคาและค่าบริการยังถูกลงเรื่อย ๆ ทำให้สมัยนี้เข้าถึงเทคโนโลยีสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น และติดโทรศัพท์มือถืองอมแงมจนถอนตัวไม่ขึ้นเรื่อย ๆ

ล่าสุด "ดีไลฟ์" ได้มีโอกาสได้เจอกับ 11 เซเลบหนุ่มผู้หลงใหลเทคโนโลยีและอินโนเวชั่นใหม่ ๆ ในงานเปิดตัวแพ็กเกจใหม่อย่าง "ทรูมูฟ เอช กาแล็คซี่ แพ็กเกจ" อันเป็นความร่วมมือกันระหว่าง "ทรูมูฟ" และ "ซัมซุง" จึงได้มีโอกาสพูดคุยสอบถามความคลั่งไคล้สมาร์ทโฟนของเซเลบหนุ่มคนดัง

"แมน-การิน ศตายุ" นักแสดงและนักออกแบบตัวเลข ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ในหนึ่งวันแทบจะใช้ชีวิตติดอยู่กับเทคโนโลยีและโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา เพราะการทำงานของตนเองต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการหาข้อมูลและสถิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรอบวัน ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่จะหมดไปกับการจดจ้องอยู่หน้าจอ จนถึงขนาดที่แฟนสาวต้องออกปากให้วางมือถือบ้าง

"ช่วงหลัง ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเยอะไป จึงเริ่มแบ่งเวลาในการใช้งานโทรศัพท์บ้าง ด้วยการพยายามบังคับตัวเองว่าถ้าตอนไหนไม่ทำงานจะไม่จับโทรศัพท์เลย พยายามลดทอนการเล่นลงให้มากที่สุด ยังอยู่ในช่วงเวลาของการฝึกตัวเองอยู่"

"แอร์รี่-หฤหรรษ์ นพวรรณ"
ช่างภาพหนุ่ม ก็ติดงอมแงมไม่แพ้ใคร แถมยังอธิบายระดับความคลั่งไคล้ของตนเองว่า "ถ้าไม่ตายคงเลิกไม่ได้" พฤติกรรมการใช้งานสมาร์ทโฟนของแอร์รี่ส่วนใหญ่ จะเน้นไปที่เรื่องของการถ่ายภาพและอัพโหลดลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อแบ่งปันภาพสวย ๆ ให้เพื่อน ๆในโลกออนไลน์ได้ชมกัน

"ยอมรับเลยนะว่าติดมาก ๆ ไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้ว่าวันนึงใช้แค่ไหนแล้วนอกจากตลอดเวลา ตอนนี้ไม่สามารถเลี่ยงได้แล้วจริง ๆ แบ่งเวลาไม่เคยได้เลย ตื่นมาก็ต้องเช็กอินสตาแกรมก่อนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ใครคอมเมนต์ว่ายังไงบ้าง ถ้าไม่ตายก็เลิกไม่ได้จริง ๆ นี่ไม่ได้พูดเว่อร์นะ"

ขณะที่ 3 นักร้อง-นักแสดงคนดังอย่าง "ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ", "แม็ค เอเอฟ 6-วีรดนย์ หวังเจริญพร", "เต้ย-พงศกร เมตตารินกานนท์" และ "เจ-เจตริน วรรธนะสิน" ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ห่างไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะมีส่วนช่วยในการทำงานและติดต่อสื่อสารกับแฟนคลับได้อย่างใกล้ชิด

"เราจะเน้นเอาไว้ใช้ติดต่อกับพวกแฟนคลับซึ่งเดี๋ยวนี้ดีกว่าเมื่อก่อนไม่ต้องมานั่งเขียนจดหมายติดแสตมป์อีกแล้ว เพราะมันมีทุกอย่างอยู่ในมือสำหรับการสื่อสารกัน มันง่ายมาก ความจริงทุกคนทุกสาขาอาชีพในตอนนี้ก็จำเป็นต้องใช้หมดนะ ไม่มีใครปฏิเสธได้ในเรื่องนี้ แต่ต้องใช้ให้มันเกิดประโยชน์กับเราโดยตรงให้ได้" เจกล่าว

"เติ้ง-สุดเขต พงษ์พิทักษ์" เชฟและเจ้าของร้านอาหาร ชี้แจงว่าตนเองใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กเยอะมากในหนึ่งวัน เพียงแต่การใช้งานของตนเองจะเน้นไปที่เรื่องงานเป็นหลัก โดยการใช้สำหรับอัพเดตเรื่องราวภายในร้านอาหาร หาข้อมูล หรือหน้าตาอาหารแบบใหม่ ๆ

"ถึงการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กจะกินเวลาครึ่งนึงของชีวิต แต่ผมไม่รู้สึกว่าเสียเวลากับมัน เพราะส่วนใหญ่จะอยู่กับเรื่องงาน ส่วนคนอื่นที่ติดมาก ๆ ก็คงมามองกันว่าคุณใช้ประโยชน์จากโซเชียลเน็ตเวิร์กกันในแง่มุมไหน ถ้าเราหาข้อมูล ดูว่าในแต่ละวันมีอะไรอัพเดต บางทีเขาอาจจะโพสข่าวมาให้เราอ่านโดยที่เราไม่ต้องไปหาซื้อหนังสือ"

ด้าน "ไก่-ภาษิต อภิญญาวาท" ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากต้องคอยเช็กเรื่องราวข่าวสารที่เกิดขึ้นในรอบวันตลอดเวลา จึงไม่อาจห่างจากสมาร์ทโฟนได้นานนัก

ส่วน "ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่ต้องเดินทางอยู่บ่อย ๆ ก็อธิบายสาเหตุที่ตนเองติดสมาร์ทโฟนว่า "ด้วยหน้าที่การทำงาน การติดต่อสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อีกอย่างผมคิดว่าไอเดียดี ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นที่โต๊ะ ส่วนใหญ่ไอเดียดีจะมาระหว่างการเดินทาง ดังนั้นเวลาคิดได้เราก็จะติดต่อสื่อสารคุยงานกันตลอดเวลา"

"ตั้ม-พฤษ์พล มุกดาสนิท"
ดีไซเนอร์ MAMAFAKA กล่าวว่า การมีสมาร์ทโฟนและโซเชียลเน็ตเวิร์กมีส่วนช่วยในการโปรโมตงานของศิลปินอิสระมาก ยกตัวอย่างเมื่อทำงานเสร็จก็อัพโหลดลงเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมได้ทันที


"แต่ต้องไม่ให้มันกินเวลาในชีวิตไปจนหมดเพราะเราต้องคิดให้ได้และใช้ให้มันพอดี ๆ โตขนาดนี้แล้วก็ต้องคอยเตือนตัวเองเอาไว้ ไม่มีพ่อแม่มาคอยเตือนแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้ให้พอดี ๆ เน้นไปที่การใช้เรื่องงานมากกว่า อย่าให้มันมากินจนไม่มีเวลาทำงาน พยายามเอามาให้เฉพาะที่เป็นประโยชน์กับเรื่องงานดีกว่า"

ปิดท้ายกันที่ครีเอทีฟลูกสอง "ช้างน้อย-กุญชร ณ อยุธยา" ที่ต้องใช้สมาร์ทโฟนติดต่อทั้งเรื่องงานและส่วนตัวทุกวันจนติดเป็นนิสัย ชนิดที่ว่าเข้าห้องน้ำต้องมีสมาร์ทโฟนไม่อย่างนั้นจะถ่ายไม่ออก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่เลิกลำบาก

"พอเราดูพวกเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์เยอะ ๆ มันก็จะเหมือนกับคนที่ติดบุหรี่ คือจริง ๆ ไม่ทำก็ได้ไม่สำคัญอะไรมากนัก ซึ่งวิธีที่จะทำให้ห่างจากมันก็คงจะไม่มีอะไรมากนอกจากการพยายามข่มใจ สำหรับที่บ้านจะตั้งกฎไว้เลยว่า ถ้าลูกเห็นพ่อดูเฟซบุ๊กในเวลาครอบครัวให้เอาโทรศัพท์มือถือไปทิ้งได้เลยนะ เพราะเราต้องมีเวลาที่จะอยู่กับครอบครัวบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเดียว"



แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook