รีวิว iPad Air ออกแบบใหม่ บาง และ เบา กว่าเดิม

รีวิว iPad Air ออกแบบใหม่ บาง และ เบา กว่าเดิม

รีวิว iPad Air ออกแบบใหม่ บาง และ เบา กว่าเดิม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รีวิว iPad Air (iPad 5) เตรียมวางจำหน่ายในไทย 15 พฤศจิกายนนี้ พร้อมคลิปซับไตเติ้ลภาษาไทย iPad air ipad 5 ด้านใน

สำหรับท่านที่รอการวางจำหน่าย iPad Air (ipad 5) ในไทย กาปฏิทินรอไว้ได้เลยครับ เพราะล่าสุด ทาง iStudio by UFicon ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Apple ในไทย ได้ประกาศออกมาแล้วว่า จะวางจำหน่าย iPad Air (ipad 5) วันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ เฉพาะรุ่น Wi-Fi นอกจากนี้ ยังเปิดรับจอง iPad Air อีกด้วย รายละเอียดติดตามกันได้ที่เว็บไซต์ของ UFicon ครับ

นอกจากจะวางจำหน่ายที่ iStudio by Uficon แล้ว ยังมีที่ร้าน U-Store และ iBeat ซึ่งเป็นร้านในเครือ UFicon นั่นเอง ส่วน ราคา iPad Air นั้น ยังไม่มีการประกาศราคาแต่อย่างใด แต่คาดว่า น่าจะไม่ต่างจาก iPad 4 ตอนเปิดตัว ที่ 16,500 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi 16GB ครับ - istudio

รีวิว iPad Air (iPad 5)

สำหรับ iPad Air หรือ iPad 5 รุ่นปี 2013 นี้ ถือว่า เป็นรุ่นที่น่าสนใจมากทีเดียว เพราะนอกจากจะออกแบบใหม่ บาง และ เบา กว่าเดิมแล้ว ในเรื่องของระบบประมวลผล ถือว่า แรงไม่แพ้ iPhone 5S (ไอโฟน 5s) เลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งในวันนี้ เว็บไซต์ techmoblog มีบทความ รีวิว iPad air (รีวิว ipad 5) มาให้อ่านกัน มาดูกันว่า iPad รุ่นไฮเอนด์ตัวนี้ มีอะไรน่าสนใจกันบ้าง

** ขอขอบคุณ เจ้าของบทความรีวิว จากเว็บไซต์ phonearena.com ครับ

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่อง iPad air ก็ได้แก่ Wall charger, สาย Lightning USB cable สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือเสียบกับ Wall charger เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ และคู่มือการใช้งาน ซึ่ง iPad Air (iPad 5) จะไม่มีหูฟังมาให้ในกล่องนะครับ ถ้าจำเป็นต้องใช้ จะต้องซื้อแยกต่างหาก

โดย iPad Air มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้ว แบบ LED-Backlit glossy widescreen Multi-Touch (Retina display) พร้อมเทคโนโลยี IPS ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล (264 ppi) รองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน โดดเด่นตรงที่ ตัวเครื่องบางลง เหลือ 7.5 มิลลิเมตร (จากเดิม 9.4 มิลลิเมตร) นอกจากนี้ นัำหนักยังเบาลง เหลือแค่ปอนด์เดียวเท่านั้น ซึ่งผู้ที่ทำการรีวิว เผยว่า ถึงแม้ iPad Air จะไม่ได้เบาเท่ากระดาษ แต่เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ถือว่า แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดครับ

iPad Air มาพร้อมชิปประมวลผล Apple A7 แบบ 64-bit ซึ่งเป็นหน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Processor ความเร็ว 1.4GHz เร็วกว่า iPhone 5S เล็กน้อย (iPhone 5S ความเร็วในการประมวลผล อยู่ที่ 1.3GHz)

สำหรับพอร์ตการเชื่อมต่อ และปุ่มควบคุมการทำงานต่างๆ รอบๆ ตัวเครื่อง ไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าครับ ไม่ว่าจะเป็น กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล, ปุ่ม Home ที่ยังไม่รองรับ Touch ID เหมือน iPhone 5S, ช่องหูฟัง, ปุ่มปรับเสียง และปุ่ม Power ส่วนด้านล่างตัวเครื่องนั้น ได้ปรับเปลี่ยนให้เหมือนกับ iPad mini ซึ่งด้านซ้าย เป็นไมโครโฟน ส่วนด้านขวา เป็นลำโพง และพอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Lighting connector

ส่วนกล้องด้านหลัง มาพร้อมความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีไฟแฟลช เหมือน iPad 4 ครับ

iPad Air : อินเทอร์เฟส และฟีเจอร์การใช้งาน

สำหรับ iPad Air (iPad 5) นั้น มาพร้อมกับ iOS 7 ตั้งแต่แกะกล่อง แน่นอนว่า ลูกเล่น และการใช้งานต่างๆ เหมือนกับ iPhone 5S, iPhone 5 รวมไปถึง iPhone และ iPad รุ่นที่รองรับ iOS 7 ซึ่ง iOS 7 นี้ ได้รับการออกแบบใหม่ ให้มีความเรียบง่ายขึ้น และได้เพิ่มฟีเจอร์การใช้งาน รวมไปถึง shortcut ต่างๆ ที่ทำให้ผู้ใช้สะดวกในด้านการใช้งานมากกว่าเดิม

ในส่วนของการปลดล็อคหน้าจอนั้น ยังคงเป็นแบบ slide to unlock เพื่อใส่รหัส passcode และแอพพลิเคชั่น ยังคงเป็น ไอคอนเรียงกัน หรือจะจัดกลุ่มให้อยู่ในโฟลเดอร์เดียวกันก็ได้

สำหรับอินเทอร์เฟสที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ก็คือ ส่วนของ multitasking ที่เปลี่ยนจากการ แตะไอคอนค้าง เพื่อลบแอพพลิเคชั่น เป็นการปัดขึ้นด้านบนแทน นอกจากนี้ ยังมีส่วนของ Notification center แจ้งเตือนเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผู้ใช้ไม่ได้รับทราบ เช่น สายที่ไม่ได้รับ, ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน หรือตารางนัดหมายต่างๆ นอกจากนี้ ยังมี Control Center เมนูลัดเข้าใช้งาน เช่น เปิด-ปิด Wi-Fi, Bluetooth, ปรับความสว่างของหน้าจอ, เมนูฟังเพลง และอื่นๆ

สำหรับเบราว์เซอร์ Safari บน iOS 7 นั้น ได้รับการออกแบบใหม่ เน้นโทนสีขาว และเรียบง่าย รองรับการแชร์หน้าเว็บเพจ ไปยัง อีเมล, เฟสบุ๊ค หรือ ทวิตเตอร์ นอกจากนี้ ยังมีโหมด iCloud Tabs สามารถเปิดอ่านลิงก์ที่ถูกบันทึกไว้ผ่าน iCloud บนอุปกรณ์ใดก็ได้ ที่ใช้ account เดียวกัน ถือว่า สะดวกมากทีเดียว

iPad Air มาพร้อมกล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล และกล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด F/2.4 โดยมีโหมดการทำงาน 3 แบบ ได้แก่ ถ่ายภาพปกติ, ถ่ายภาพขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส และโหมดถ่ายภาพวีดีโอ ซึ่งบน iPad air ไม่รองรับการถ่ายภาพแบบ พาโนรามา เหมือนบน iPhone ครับ

สำหรับการถ่ายภาพในสภาพแสงปกติ ถือว่า ได้ภาพที่คมชัด และมีระยะชัดลึกของภาพเล็กน้อย ส่วนการถ่ายภาพในที่แสงน้อย พบว่า มี noise เกิดขึ้น และภาพที่ได้ ไม่สว่างเท่ากับ สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ที่มีรูรับแสงกว้างๆ (คลิ๊กที่ภาพ เพื่อชมภาพในขนาดที่ใหญ่ขึ้น)

ส่วนการถ่ายวีดีโอ iPad Air (iPad 5) รองรับการถ่ายวีดีโอขนาด Full HD 1080p ซึ่งทางทีมรีวิวนั้น ได้ทดสอบการถ่ายคลิปวีดีโอด้วย ชมได้จากคลิปด้านล่างครับ

มา ดูกันที่ แบตเตอรี่ กันบ้างครับ โดยเมื่อเปรียบเทียบ แบตเตอรี่ระหว่าง iPad Air และ iPad 4 พบว่า iPad Air แบตเตอรี่มีความจุน้อยกว่า แต่สามารถรองรับการใช้งานได้ 10 ชั่วโมงเท่าเดิม ทั้งนี้ เป็นเพราะชิป Apple A7 และระบบปฏิบัติการ iOS 7 ด้วย ที่ทำให้ตัวเครื่อง ประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้มากกว่าเดิมครับ

สำหรับจุดเด่นของ iPad Air ตามความเห็นของ เว็บไซต์ phonearena ก็คือ ตัวเครื่องผลิตจาก อะลูมิเนียม ซึ่งมีความแข็งแรง ทนทาน นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังบางลง และน้ำหนักเบากว่าเดิม ทำให้พกพาได้สะดวกมากขึ้น ส่วนจุดที่จะต้องปรับปรุงก็คือ การถ่ายภาพในที่แสงน้อย ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPad 5 (ไอแพด 5) ในชื่อใหม่ กับ iPad Air ที่มีการปรับดีไซน์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับ iPad mini นั่นเอง โดยขอบหน้าจอ บางลง เพียง 0.7 มิลลิเมตร บางกว่ารุ่นก่อนหน้า 45% และจุดเด่นที่สำคัญก็คือ iPad Air (iPad 5) น้ำหนักเบามาก เพียง 469 กรัมเท่านั้น มาดูจุดเด่นอื่นๆ ของ ipad air หรือ ipad 5 กันครับ

iPad Air (iPad 5) มาพร้อมหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว แบบ Retina Display ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล ซึ่งสเปคในส่วนนี้ ยังคงเหมือนกับ iPad 4 แต่ความเปลี่ยนแปลงก็คือ ดีไซน์ที่เปลี่ยนไป ใกล้เคียงกับ iPad mini มากขึ้น โดย iPad Air นั้น บางเพียง 7.5 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งบางลงกว่ารุ่นก่อนหน้า 20% และน้ำหนักอยู่ที่ 469 กรัม เบากว่าเดิม 28% ครับ

สำหรับชิปประมวลผลบน iPad Air (ipad 5) เป็นชิป Apple A7 แบบเดียวกับที่ใช้บน iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั่นเอง ซึ่งรองรับการประมวลผลแบบ 64-bit และชิป M7 coprocessor อีกด้วย โดยชิป Apple A7 นี้ ทำให้ iPad Air ประมวลผลทั้งด้าน CPU และ GPU ได้เร็วกว่า iPad 4 ถึง 2 เท่า นอกจากนี้ ยังช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย โดยรองรับการใช้งานนานถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ในส่วนของการเชื่อมต่อนั้น iPad Air ใช้เสาสัญญาณ 2 ตัว และเทคโนโลยี MIMO ทำให้รองรับสัญญาณ Wi-Fi ได้เร็วขึ้นถึง 2 เท่า ส่วนกล้องด้านหลัง ความละเอียดเท่าเดิมที่ 5 ล้านพิกเซล ไม่รองรับไฟแฟลช กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังประกอบด้วย ไมโครโฟน 2 ตัว เพื่อความคมชัดของเสียงขณะถ่ายคลิปวีดีโอครับ

ราคา iPad Air (iPad 5)

โดย iPad Air (iPad 5) มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเทา Space Gray และ สีเงิน Silver ส่วนหน่วยความจำในตัวเครื่อง มีให้เลือก 4 ความจุด้วยกัน ได้แก่ 16GB, 32GB, 64GB และ 128GB ราคาเป็นดังนี้ครับ

รุ่น Wi-Fi

• iPad Air 16GB Wi-Fi ราคา $499
• iPad Air 32GB Wi-Fi ราคา $599
• iPad Air 64GB Wi-Fi ราคา $699
• iPad Air 128GB Wi-Fi ราคา $799

รุ่น Wi-Fi + Cellular

• iPad Air 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา $629
• iPad Air 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา $729
• iPad Air 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา $829
• iPad Air 128GB Wi-Fi + Cellular ราคา $929

วันวางจำหน่าย iPad Air (iPad 5)

iPad Air (ipad 5) วางจำหน่ายวันแรก 1 พฤศจิกายนนี้ ใน 41 ประเทศทั่วโลก ซึ่งยังไม่มีรายชื่อ ประเทศไทย ในรอบแรกครับ แต่มีประเทศในแถบเอเชีย ที่วางจำหน่ายรอบแรกด้วยเช่นกัน ได้แก่ จีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งต้นเดือนหน้า เราจะได้เห็น iPad Air เครื่องหิ้วในไทยอย่างแน่นอนครับ

ส่วนกำหนดการวางจำหน่าย iPad Air (ipad 5) ในไทย ถ้าหากมีความคืบหน้า ทีมงาน techmoblog จะรีบนำมารายงานให้ทราบกันอย่างแน่นอน ติดตามกันได้ครับ

iPad 4 ปรับราคาลงแล้ว

ตาม ธรรมเนียมครับ เมื่อมีการเปิดตัว iPad 5 (iPad Air) ทำให้ iPad รุ่นก่อนหน้า อย่าง iPad 4 ได้ปรับราคาลงแล้ว ซึ่งบน Apple Online Store ประเทศไทย ได้ปรับราคา iPad 4 ใหม่ ดังนี้ครับ

รุ่น Wi-Fi

• iPad 4 16GB Wi-Fi ราคา 14,900 บาท
• iPad 4 32GB Wi-Fi ราคา 17,900 บาท
• iPad 4 64GB Wi-Fi ราคา 21,400 บาท
• iPad 4 128GB Wi-Fi ราคา 24,900 บาท

รุ่น Wi-Fi + Cellular

• iPad 4 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา 18,700 บาท
• iPad 4 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา 22,400 บาท
• iPad 4 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา 25,900 บาท
• iPad 4 128GB Wi-Fi + Cellular ราคา 29,400 บาท

 สนับสนุนเนื้อหา: www.techmoblog.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook