10 สิ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยี...ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราคงจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

10 สิ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยี...ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราคงจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

10 สิ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยี...ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราคงจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

10 สิ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยี...ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราคงจะไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

1. เราใช้อีเมลในห้องน้ำ
     มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจในการบอกเพื่อนร่วมงานให้ทุ่มเทกับงานมากขึ้น ขณะที่เรานั่งบนโถส้วมปลดทุกข์อย่างสบายอารมณ์ แต่เราคงต้องพยายามหักห้ามใจไม่ให้พิมพ์นู่นนี่นั่นในห้องน้ำบ่อยๆ เพราะกลัวจะติดเป็นนิสัยหรือติดใจ ทีแรกเรานั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ พร้อมสมาร์ทโฟนในมือ ต่อมาเราพัฒนาเป็น iPad...สงสัยอีกหน่อยเราคง ‘ไป' ห้องน้ำไม่ได้ถ้าไม่มี iMac มหึมา โคมไฟตั้งโต๊ะและพรินเตอร์ติดตัวไปด้วย

2. เราอวดคลิปวิดีโอที่เล่นแรงไปหน่อย
     มันเป็นบ่ายวันศุกร์ บอสส่งอีเมลไฟล์ภาพ Gif ตลกๆ ที่ผู้ชายกระโดดพลาดหัวโขกพัดลมแขวนเพดานให้ทุกคนในแผนกดู ออฟฟิศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก ทุกคนเริงร่าเบิกบาน หลังจากนั้นไม่นานพนักงานฝ่ายการตลาดคนหนึ่งก็ส่งคลิป YouTube เด็กผู้ชายร่วงหล่นจากบันไดเลื่อน มีคนเขียนตอบกลับไปอย่างสนุกสนานว่า ‘โอยย์!' ในวินาทีนั้นผมนึกในใจว่า ‘ขอบ้างดิ' แล้วก็รีบส่งคลิปวิดีโอสั้นๆ แต่ออกแนวโจ๋งครึ่มโดยที่ผู้ชายคนหนึ่งกำลังมีเพศสัมพันธ์กับม้า สิ่งที่ตามมาคือความเงียบในโลกดิจิตอล ซึ่งเชื่อมั้ยว่าเกือบทำให้หูอื้อแน่ะ

3. เราใส่หูฟังในออฟฟิศ
     ตลอดทั้งวัน ไม่ถอดออกเลย ซึ่งก็ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงสนทนา เสียงโต้แย้งและเสียงหยอกเย้าไร้สาระใดๆ เลยในออฟฟิศ การไม่รับรู้สิ่งใดๆ รอบตัวหมายความว่าเราไม่รู้ว่าบอสกำลังยืนอยู่ข้างหลังขณะที่เรากำลังเล่นไพ่โป๊กเกอร์ออนไลน์อย่างหน้าดำคร่ำเครียด ที่เลวร้ายกว่านั้นคือก่อนหน้านี้ไม่นาน เราเพิ่งบอกบอสไปเองว่าวันนี้ต้องทำงานหนักมากซะจนไม่มีเวลาทานข้าว เอาละ อย่างน้อยไอ้หูฟังนี่ก็ช่วยให้ผมไม่ต้องได้ยินสิ่งที่หลุดออกจากปากของคนข้างๆ ว่า "โอเค ฉันไม่บอกหรอกว่าใครเป็นผู้ชนะ Masterchef เมื่อคืนนี้ แต่แค่บอกว่าคนคนนั้นคือคนที่ไว้ผมทรงเดรดล็อกก็แล้วกัน"

4. เราแสดงความเป็นผู้นำได้ยอดแย่
     เรานั่งหลังขดหลังแข็งเรียงลำดับเพลงในเพลย์ลิสต์บน Spotify พร้อมที่จะสตรีมผ่านลำโพงในออฟฟิศ เราแฮปปี้กับเพลงที่เลือกมาและจริงๆ แล้วเราก็ฟังเพลงเหล่านั้นผ่านหูฟังจนกระทั่งถูกสั่งให้ถอดออก แต่ในทันทีที่เพลงแรกเริ่มบรรเลงและมีเสียงตะโกนออกมาว่า ‘นี่มันห่วยแตกอะไรกันฟร่ะ' หน้าของเราก็แดงแปร๊ดและเราพึมพำว่า ‘ใช่ ขยะเนอะ' จากนั้นเราก็จัดเพลงของ Daft Punk ให้อีกเพลงซะเลย เรารู้ว่าเราอ่อนแอ แต่ทุกคนก็อ่อนแอเหมือนกัน

5. เราเอาอาหารกลิ่นตุๆ ใส่ไมโครเวฟ
     มันเป็นเดือนมกราคมและมาตรการรัดเข็มขัดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้น อาหารมื้อเที่ยงของเราจึงประกอบด้วยอาหารที่กินเหลือจากเมื่อคืน จริงๆ แล้วก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แต่ปัญหาคือเมื่อเอาปลาเทราต์ผสมผักงอกใส่ไมโครเวฟปรากฏว่าทั้งชั้นก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นที่ทำให้นึกถึงโรงอาหารในโรงเรียนมัธยมในช่วงทศวรรษ 1950 ขึ้นมาทันที เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงไมโครเวฟอย่างสิ้นเชิง ใครที่อยากมีโอกาสปรับเงินเดือนขึ้นจะต้องทานแซนด์วิชทำเอง หรือซื้อสำเร็จรูปและทานอย่างรีบร้อนขณะประชุมในห้องและพูดว่า "ขอโทษ ผมหรือดิฉันหาเวลาทานไม่ได้เลยวันนี้" อย่างน้อยสามครั้ง

6. Facebook ของเราน่าขายหน้า
     ใช่ เพื่อนๆ ที่ทำงานได้เห็นภาพปาร์ตี้สละโสดจากเมือง Riga ปี 2010 ที่มียกทรงอันบะเริ่มแหมะอยู่บนหัวและครีมโกนหนวดเลอะหน้า รวมทั้งภาพถ่ายทุกใบตั้งแต่ปี 2007 จวบจนถึงปัจจุบันที่มีสิ่งต่อไปนี้อยู่ในภาพ: วิสกี้ ดวงตาว่างเปล่าปราศจากจุดมุ่งหมายอย่างสิ้นเชิง เครื่องแต่งกายแนววัยรุ่นดูสกปรกๆ องคชาต

7. เรามีจอมอนิเตอร์เพียงตัวเดียว
     กฎของออฟฟิศคือถ้าเราเป็นคนสำคัญเราจะมีจอมอนิเตอร์สองตัวบนโต๊ะ แต่ถ้าเราเป็นระดับผู้บริหารหรือบอสละก็ โต๊ะของเราจะไม่มีจอใดๆ เลย เราแค่หิ้วโน้ตบุ๊คหนึ่งเครื่องไปที่ต่างๆ ผลที่ตามมาคือหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่ระบุว่าวันๆ เราไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยก็จะอยู่กับเราอย่างปลอดภัยโดยไม่มีใครแอบเปิดดูได้

8. สินค้าที่เราสั่งทางออนไลน์วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
     เพื่อนร่วมงานของเราไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่จะเปิดเมลในวันที่เราลาป่วย แต่ไม่มีทางที่เราจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมแย่ๆ เช่นนั้นได้... หนังสือ The Student Cookbook และแผ่นดีวีดีมือสองหนังเรื่อง Crank: High Voltage ไม่ใช่สิ่งที่ซีอีโอเขาอ่านและดูกันหรอกนะเพื่อน

9. ริงโทนของเรายังน่ารังเกียจไม่พอ
     เราจะโน้มน้าวให้บอสเชื่อว่าเราเป็นพนักงานที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับบริษัทได้อย่างไร วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะทำงาน เร่งวอลลุมไปจนสุด จากนั้นก็ออกไปข้างนอกหาโทรศัพท์สาธารณะโทรเข้าเบอร์ตัวเองและปล่อยให้ริงโทนเพลงเปิดรายการ Top Gear ดังลั่นออฟฟิศไปเรื่อยๆ เพื่อนร่วมงานบางคนอาจแหกปากออกมาว่า "โทรศัพท์งี่เง่าของใครกันฟร่ะ" แต่พอพวกเขารู้ว่าเป็นของเราพวกเขาก็จะอึ้งและทึ่งโดยคิดว่างานเราเยอะซะจนไม่มีเวลารับโทรศัพท์ อ๋อ แต่ถ้าใครบางคนเกิดหวังดีแล้วรับโทรศัพท์ และรู้ว่าเราเป็นคนโทรมาเองแล้วจะทำอย่างไรงั้นเหรอ อืมม์ น่าคิด...

10. จนป่านนี้แล้วเรายังไม่รู้วิธีโอนสายโทรศัพท์เลย
     "ฮัลโหล เอ้อ นี่หัวหน้านะ อ๋อ ครับท่าน ด่วนเลยใช่มั้ยครับ รอสักครู่ครับ เดี๋ยวผมโอนสายให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย..." จากนั้นทุกอย่างก็เงียบ อีกหนึ่งสายที่ถูกตัด

ที่มา : T3 [กุทภาพันธ์]

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook