แนะนำวิธีเลือกใช้ Social Media ให้เหมาะกับกลยุทธ์การตลาด พ.ศ.นี้

แนะนำวิธีเลือกใช้ Social Media ให้เหมาะกับกลยุทธ์การตลาด พ.ศ.นี้

แนะนำวิธีเลือกใช้ Social Media ให้เหมาะกับกลยุทธ์การตลาด พ.ศ.นี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แนะนำวิธีเลือกใช้ Social Media ให้เหมาะกับกลยุทธ์การตลาด พ.ศ.นี้

นับวันเครื่องมือ Social Media มีใช้งานมากมายหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Social Media เฉพาะทาง หรือ Social Media ที่อยู่ในกระแสหลักต่างก็มีเรื่องปวดหัวมาให้ทั้งผู้ใช้ และก็นักการตลาดต้องติดตามทำความเข้าใจและ คอยอัพเดท การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่างๆ เพื่อให้เท่าทันจะได้ทำการตลาดผ่านช่องทาง Social Media ให้มีประสิทธิภาพ เพราะในเชิงลึกในแต่ละ Social Media ในปจจุบันมีมีรายละเอียดเชิงลึกในการทำงาน และใช้งานแตกต่างกันไป

กลยุทธ์ทางการตลาดของการทำการตลาดผ่าน Social Media ในแต่ละอุตสาหกรรม และแบรนด์ ก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่ากัน แน่นอนว่าวัถุประสงค์จะถูกนำมาออกแบบให้เป็นวิธี Approach ในการนำเสนอรูปแบบให้แตกต่างกัน ซึ่งคุณภาพจึงขึ้นอยู่กับไอเดีย รูปแบบ การใช้งานจริงๆ รวมถึงงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีหลายปัจจัย แต่ถ้ามองในมุนเชิงเทคนิค ก็จะมีอีกมุมนึงที่จะบอกว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้เครื่องมือ Social Media เหมาะกับโจทย์ในการทำการตลาดออนไลน์แบบไหนบ้างเรามาลองดูในมุมเทคนิคกันครับ


ผมชอบ Info-graphic ตัวนี้เพราะค่อนข้างสรุปได้ดีและเห็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจน โดยแยกข้อดีของแต่ละ Social Media ช่องทางต่างในความประสิทธิภาพในการตอบโจทย์การตลาดดิจิทัล 4 มุมก็คือ

- ประสิทธิภาพในเรื่อง SEO (Search Engine Optimisation) ความสามารถในการแสดงเนื้อจาก Social Media ไปยัง Search Engine ต่างๆ เช่น Google
- Brand Awareness ประสิทธิภาพในการสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้า
- Customer Communication ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า
- Traffic Generation ประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดการเข้าชม หรือ Lead, Generation

ใน 4 มุมเป็นการใช้ประโยชน์จาก Social Media เพื่อตอบโจทย์การทำการตลาดใน 4 ความสามารถหลักมาดูกันครับว่าใครดีกว่าใครแนะนำตัวไหนยังไงบ้าง

SEO (Search Engine Optimisation)

Social Media มีผลต่อการทำ SEO ในยุคใหม่อย่างมากไม่เพียงแต่คะแนนด้านเว็บ การทำให้เป็นมิตรกับ Google และให้ถูกหลักการทำเว็บที่ดีแล้ว ปัจจุบันนี้อัลกอริทึ่มในการจัดลำดับการค้นหาจะมีเรื่องของ Social Media เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ Google จะทำการให้น้ำหนักเนื้อหาที่มีการไลค์แชร์สูงๆ บน Social Media มากกว่าเนื้อหาที่ไม่มีการ Interaction บน Social Media เลย ซึ่งในสำคัญมากในการจัดลำดับความสำคัญยุคนี้ครับ Social Media ที่ช่วยเอื้อในการจัดลำดับ Google แน่นอนว่ารายใหญ่จะมีผลมากและให้ผลดี

Twitter : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ จากการถูก Retweet บ่อยๆ (Higher Search Ranking)

Facebook : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ถ้ามี การไลค์แชร์ Comment เว็บไซต์นั้นหรือเนื้อหาในหน้าเว็บนั้นสูงๆ (Higher Search Ranking)

Google+ : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ โดยเฉพาะเพื่อนมีสิทธิ์จะเห็นเนื้อหานั้นในผลเสิร์ชเป็นอันดับต้นๆ โดย Google ก็แอบให้คุณค่าเนื้อหาที่ถูกกด +1 มากกว่า Facebook Twitter ซะอีก

Pinterest : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาโดยเนื้อหาที่โดดเด่นและ Popular บน Pinterest ก็ช่วยมีผลด้านอันดับเช่นกัน

Social Media ไม่แนะนำ : Instagram เพราะผู้ใช้ที่ส่วนใหญ่ใช้งานผ่าน Application และบนมือถือครับ อีกทั้งเว็บไซต์ Instagram ค่อนข้างมีลิมิตในการเข้าถึงค่อนข้างมาก แต่คาดว่าในอนาคตน่าจะมีผลช่วยด้าน SEO ที่ดีขึ้นแน่นอน


Brand Awareness

ด้านการสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้าทุกช่องทางช่วยในการสร้างการรับรู้ได้หมดครับ เพราะขึ้นชื่อว่าสื่อสังคมออนไลน์ จะช่วยกระจายให้คนภายในสื่อโซเชี่ยลนั้นเห็นได้แน่ มากน้อยตามแต่ลักษณะเนื้อหาและช่องทางนั้นๆ ครับ ซึ่งต้องบอกว่ายิ่งทำทุก Social Media ยิ่งสร้าง Awareness ได้แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและปรับเนื้อหาให้เข้ากับรูปแบบที่แตกต่างกันครับแนะนำตามนี้นะครับ การสร้างการรับรู้ให้ได้ประสิทธฺภาพก็ต้องเน้นช่องทางที่มีโอกาสสร้าง Exposure ได้กว้างๆ ซึ่ง Facebook Twitter เป็นทางเลือกหลัก

Twitter : สร้างการรับรู้ผ่านตัวอักษรแต่อาจจะต้องเป็นกระแสมากพอที่จะอยู่ในกระแสการพูดถึงในวงกว้าง ต้องรวดเร็วและสดใหม่

Facebook : การสร้างการรับรู้บนช่องทาง Facebook ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบรรดา Social Media ทั้งหมดเพราะเป็ฯที่ที่มีฐานผู้ใช้สูงสุดและจำนวนผู้ใช้ต่อเดือนสูงสุด แต่เมื่อทุกแบรนด์ต่างเข้ามาร่วมสร้างการสื่อสารพร้อมๆ กันปัญหาเรื่องการเข้าถึง Reach กลายเป็นปัญหาใหม่ที่นักการตลาดต้องให้ความสำคัญ เพราะเมื่อการโพสเนื้อหามีคนเห็นน้อยลงนั่นหมายถึงประสิทธิภาพในการรับรู้ผ่านเครื่องมือนี้ก็ลดลงไปด้วย

Linkedin : สำหรับบุคคล หรือองค์กร Linkedin ถือเป็นเครื่องมือที่ดีอันหนึ่งในการสร้างการรับรู้ในระดับองค์กร หรือสามารถนำมาใช้ในการทำ Personal Branding ได้เช่นกัน

Google PLus : แม้จะมีฐานผู้ใช้จำนวนมากแต่จำนวนผู้ใช้รายเดือนน้อย (Monthly Active Users) แต่ช่องทางนี้ก็ยังสามารถสร้างการรับรู้ได้เช่นกันครับ

Pinterest : ถ้าสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่เน้นเรื่องการออกแบบหรือเป็ฯสินค้าเชิง Lifestyle ช่องทาง PInterest เป็นช่องทางที่ช่วยในการสร้างการรับรู้ในเชิงภาพได้ดี แต่การจะทำให้มีประสิทธิภาพนั้นภาพที่ใช้จะต้องมีคุณภาพค่อนข้างมาก เพราะ PInterest นั้นภาพยิ่งสวยยิ่งได้รับความสนใจครับ

Instagram : IG จะคล้ายคลึงกับ Pinterest ในแง่ของการใช้ภาพสวยๆ เป็นตัวช่วยสร้างการรับรู้


Customer Communication ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า

ด้านการใช้ Social Media เพื่อสื่อสารกับลูกค้า ตัวไหนที่ใช้จะงานในการสื่อสารได้ดี ต้องบอกว่าก็ต้องเป็น Social Media ที่มี Active Users สูงๆ และต้องเป็น Social Media ที่ค่อนข้างเรียบไทม์โอกาสที่จะมีการสอบถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการเลยมีโอกาสสูงไปด้วยครับ ในการสื่อสารเลยต้องดูช่องทางและความพร้อมของทีมงานเป็นหลักด้วยครับ หากไม่มีการตอบคำถามลูกค้าในเวลาที่เหมาะสมก็อาจจะกลายเป็นวิกฤตของแบรนด์สินค้าก็เป็นได้ครับ แนะนำตามลำดับนะครับ

Twitter / Facebook : จำเป็นต้องใช้มากครับๆ ยิ่งในกลุ่มสินค้าบริการ เพราะทวิตเตอร์ถือเป็นโซเชี่ยลทีเดียอันดับต้นๆ (Top of Mind) ที่ผู้ใช้ที่ติดโซเชี่ยลมีเดียใช้กัน (Social Savvy Consumers) และความเร็ว เรียลไทม์ ก็ทำให้เป็นที่สำคัญทำให้ไม่ว่าจะเป็นคำชม คำต่อว่า ตำหนิ มีผลได้อย่างรวดเร็ว เป็นช่องทางที่จำเป็นมากหาแบรนด์ต้องการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางนี้ สามารถโต้ตอบแบบบุคคล ต่อบุคคลได้ทันทีและรวดเร็ว
Linkedin / Youtube / Instagram ถ้ามีแล้วก็จำเป็นต้องสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งการเข้าไปดู Comment และคอยตอบผ่าน Comment สามารถทำได้และจำเป็น


Traffic Generation ประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดการเข้าชม

หากต้องการใช้ Social Media เพื่อสร้างการเข้าชมไปยังเว็บไซต์หรือลิ้งไป Landing Page ต่างๆ ช่องทางที่แนะนำในต้องเป็ฯช่องทางที่มีคน Active Users จำนวนมากๆ อย่าง Facebook + Twitter แต่ถ้าถามว่าช่องทางไหนใช้ได้ดีกว่ากันต้องบอกว่า twitter สามารถสร้างผลการคลิก Traffic Generation ได้ดีกว่า Facebook ส่วนช่องทางใหม่ๆ ที่น่าสนใจคือ PInterest สามารถทราฟฟิกได้มากเช่นกันแต่จะเหมาะเฉพาะบางกลุ่มสินค้าครับ


สนับสนุนเนื้อหา: www.digithun.com

บทความโดย: นิวัฒน์ ชาตะวิทยากูล (ต้น หรือ ตั้น)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook