เปรียบเทียบ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus อะไรบ้างที่ไม่เหมือนกัน

เปรียบเทียบ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus อะไรบ้างที่ไม่เหมือนกัน

เปรียบเทียบ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus อะไรบ้างที่ไม่เหมือนกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus อะไรบ้างที่ไม่เหมือนกัน

นี่คงเป็นครั้งแรกที่แอปเปิลเปิดตัว iPhone สองขนาดหน้าจอพร้อมกัน (แถมยังเป็น variation หรือรุ่นย่อยด้วย) ผมเชื่อว่าคงมีคำถามว่า iPhone 6 รุ่นปกติ แตกต่างจาก iPhone 6 Plus รุ่นหน้าจอใหญ่อย่างไรบ้าง บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลความแตกต่าง vs ความเหมือนมาให้ดูกันครับ

อ่านรายละเอียดของ iPhone 6/6 Plus ได้จากข่าว แอปเปิลเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus พร้อมหน้าจอระดับ Retina HD

ขนาดหน้าจอ

สิ่งที่ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus แตกต่างกันอย่างชัดเจนมากคือขนาดของหน้าจอ โดย iPhone 6 ใช้หน้าจอขนาด 4.7" (เท่ากับ Moto X รุ่นแรก) ส่วน iPhone 6 Plus ขยับขึ้นมาอีกขั้นเป็น 5.5" (เท่ากับ Galaxy Note II ถ้าเอาเฉพาะแค่จอ) ทั้งสองรุ่นมีหน้าจอใหญ่ขึ้นจาก iPhone 5/5s ที่ใช้จอขนาด 4"

นอกจากขนาดแล้ว ความละเอียดของหน้าจอ iPhone 6 ทั้งสองรุ่นก็ต่างกัน

  • iPhone 6 1334x750 พิกเซล 326 ppi
  • iPhone 6 Plus 1920x1080 พิกเซล (Full HD 1080p) 401 ppi

อัตราคอนทราสต์ของหน้าจอก็ต่างกันเล็กน้อย โดย iPhone 6 รุ่นจอเล็กมีอัตราคอนทราสต์ 1400:1 สูงกว่า iPhone 6 Plus ที่ 1300:1 อยู่นิดนึง

ขนาดและน้ำหนัก

เมื่อหน้าจอมีความแตกต่างแล้ว ย่อมส่งผลให้ขนาดรวมของตัวโทรศัพท์ต่างกันไปด้วย

  • iPhone 6 ยาว 13.8 ซม., กว้าง 6.7 ซม., หนัก 129 กรัม
  • iPhone 6 Plus ยาว 15.8 ซม., กว้าง 7.8 ซม., หนัก 172 กรัม

ความหนาของตัวเครื่องดูภาพเทียบกันได้ iPhone 6 หนาเพียง 6.9 มิลลิเมตร ถือเป็น iPhone ที่บางที่สุดในปัจจุบัน ส่วน iPhone 6 Plus หนาขึ้นมาอีกนิดนึงเป็น 7.1 มิลลิเมตร

กล้อง

กล้องหลังของ iPhone 6 ทั้งสองรุ่นใช้เทคโนโลยี Focus Pixel ความละเอียด 8MP เหมือนกัน สามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 1080p@60fps หรือวิดีโอสโลว์โมชัน 720p@240fps ได้เท่ากัน

จุดต่างคือระบบกันสั่น (stabilization) โดย iPhone 6 รุ่นปกติไม่มีฮาร์ดแวร์กันสั่น (ทำที่ระดับของซอฟต์แวร์) แต่ iPhone 6 Plus มีฮาร์ดแวร์กันสั่นหรือที่เรียกกันว่า optical image stabilization (OIS) เพิ่มเข้ามาให้ด้วย

ตามทฤษฎีแล้ว iPhone 6 Plus ที่มี OIS ย่อมให้คุณภาพของภาพในบางสภาพแสงหรือสถานการณ์ออกมาดีกว่า iPhone 6 แต่ในทางปฏิบัติก็คงต้องรอทดสอบของจริงกันต่อไป

แบตเตอรี่

เนื่องจาก iPhone 6 Plus มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ใส่แบตเตอรี่เข้ามาได้ความจุมากขึ้น แอปเปิลไม่ได้เปิดเผยสเปกของแบตเตอรี่เป็น mAh แต่บอกเป็นเวลาใช้งาน

  • iPhone 6 ท่องเน็ต 3G ได้นาน 10 ชั่วโมง, Wi-Fi นาน 11 ชั่วโมง, เล่นวิดีโอต่อเนื่องนาน 11 ชั่วโมง
  • iPhone 6 Plus ท่องเน็ต 3G ได้นาน 12 ชั่วโมง, Wi-Fi นาน 12 ชั่วโมง, เล่นวิดีโอต่อเนื่องนาน 14 ชั่วโมง

ที่เหลือดูกันเองตามภาพ (ซ้าย iPhone 6, ขวา iPhone 6 Plus)

โหมดหน้าจอแนวนอน

iPhone 6 Plus ใช้ประโยชน์จากหน้าจอที่ใหญ่กว่าเดิมให้แสดงข้อมูลได้มากขึ้น โดยแอพบางตัวจะแสดงข้อมูลเพิ่มขึ้น เช่น เพิ่ม panel ด้านข้าง หรือเพิ่มไอคอนบางอย่างเข้ามา

ตัวอย่างแอพ Mail เพิ่มรายการอีเมลเข้ามา (ลักษณะเดียวกับ iPad)

ตัวอย่างแอพ iMessages เพิ่มไอคอนแสดงตัวของผู้ส่ง ในขณะที่ iPhone 6 รุ่นปกติไม่แสดง

iPhone 6 Plus ยังรองรับการแสดงผลหน้าโฮมแบบ landscape ด้วย ตามภาพ

ความจุและราคา

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มีความจุให้เลือก 3 แบบเท่ากันคือ 16GB, 64GB, 128GB (ตัดรุ่น 32GB ออกไป) ราคาจะเหลื่อมกันรุ่นละ 100 ดอลลาร์ โดยราคาเริ่มต้นของ iPhone 6 Plus จะแพงกว่า iPhone 6 อยู่ 100 ดอลลาร์

เบื้องต้นขอยึดราคาเครื่องสหรัฐอเมริกา แบบไม่ติดสัญญา (contract-free) เป็นหลักนะครับ ตัวเลขสีฟ้าคือแปลงเป็นเงินบาทโดยประมาณ ส่วน iPhone 5s อิงราคาไทยตามราคาอย่างเป็นทางการของ Apple Store ประเทศไทย ที่ประกาศไปแล้ว

อะไรบ้างที่เหมือนกัน

ฮาร์ดแวร์ส่วนของการประมวลผลเหมือนกันทุกประการ ใช้ซีพียู A8 ตัวใหม่ของแอปเปิล พร้อมกับหน่วยช่วยประมวลผลด้านความเคลื่อนไหว (motion coprocessor) M8 ที่เป็นการอัพเกรดจากชิป M7 ที่ใส่เข้ามาใน iPhone 5s

ฮาร์ดแวร์ด้านการเชื่อมต่อไร้สาย เหมือนกันทั้งหมด

  • NFC สำหรับรองรับ Apple Pay
  • WiFi 802.11 a/b/g/n/ac
  • Bluetooth 4.0
  • LTE 150 Mbps และรองรับ Voice over LTE (VoLTE)

ฮาร์ดแวร์ด้านอื่นๆ ที่เหลือ เหมือนกันทั้งหมด

  • กล้องหน้า FaceTime 1.2MP (1280x960)
  • ตัวสแกนลายนิ้วมือ Touch ID ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจาก iPhone 5s
  • เซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น ไจโรสโคป, proximity, barometer

รูปทรงและสีสัน โดยรวมแล้วเหมือนกัน มีให้เลือก 3 สีเหมือนเดิมคือ Silver (เงิน), Gold (ทอง), Space Gray (เทา)

ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย:

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook