เปิดตัวสติกเกอร์ Tattoo ที่สามารถทดสอบน้ำตาลในเลือดได้ง่ายๆ

เปิดตัวสติกเกอร์ Tattoo ที่สามารถทดสอบน้ำตาลในเลือดได้ง่ายๆ

เปิดตัวสติกเกอร์ Tattoo ที่สามารถทดสอบน้ำตาลในเลือดได้ง่ายๆ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การเจาะเลือดเพียงหนึ่งหยดที่ปลายนิ้ว หมายถึงข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจำนานมหาศาล ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บเหมือนมดกัด แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนพยายามค้นหาวิธีการเก็บตัวอย่างเลือดที่ปราศจากความเจ็บปวด

โดยเมื่อปีที่ผ่านมา Google ประกาศว่ากำลังอยู่ในช่วงพัฒนาคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ที่สามารถวัดระดับน้ำตาลในเลือดจากน้ำตาได้ แต่ในตอนนี้ นักวิศวกรนาโนค้นพบวิธีที่จะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้จากการติด "แทททู" แบบชั่วคราว

Amay Bandodkar นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้สร้างระบบการเซนเซอร์แบบยืดหยุ่นที่มีกระแสไฟฟ้าแบบอ่อนๆ สำหรับวัดระดับกลูโคสในร่างกายมนุษย์

ทั้งนี้การวัดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานบางราย ต้องทำถึงวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อดูว่าร่างกายสามารถจัดการกับระดับน้ำตาลได้ดีแค่ไหน และต้องการอินซูลินเท่าไร แต่หลายๆ คนก็พยายามจะหลีกเลี่ยงการเจาะเลือดเพราะอาการกลัวเข็ม หรือไม่อยากเจ็บตัวบ่อยๆ ซึ่งมันจะทำให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงยิ่งกว่าเดิม

สำหรับนวัตกรรมนี้ มันปราศจากความเจ็บปวดแบบ 100% เพราะมันเป็นแค่แทททู ที่สามารถแปะทิ้งไว้ได้ทั้งวันและล้างออกได้เมื่อไม่ต้องการใช้แล้ว นอกจากนี้ มันยังมีราคาถูกมากๆ ดังนั้น มันจะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถประหยัดเงินค่ารักษาพยาบาลได้

สำหรับเทคโนโลยีตรวจระดับน้ำตาลในเลือดครั้งนี้ทดลองโดยนำไปใช้กับผู้ชายอายุ 20-40 ปี ที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน และแปะแทททูนี้เอาไว้ก่อนที่จะทานแซนด์วิชและดื่มโซดา ตามด้วยมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งแทททูนี้จะบันทึกระดับน้ำตาลในเลือดแต่ละช่วงเอาไว้ทั้งหมด

เมื่อแพทย์ต้องการอ่านข้อมูลเหล่านั้น ก็เพียงแค่ลอกมันออกมา แล้วนำเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ และในอนาคต มันจะมีระบบการเชื่อต่อแบบบลูทูธติดตั้งมาด้วย เพื่อให้สามารถอ่านข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ หรือเก็บข้อมูลไว้บนคลาวด์

ทีมนักวิจัยหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้เพื่อตรวจสอบส่วนประกอบอื่นๆ ในเลือดได้ด้วย เช่น ระบบการเผาผลาญ ยารักษาโรค แอลกอฮอล์ และสารเสพติด เพราะไม่ว่าจะนำไปประยุกต์ใช้แบบไหน มันก็ไม่ทำให้เจ็บตัวแม้แต่นิดเดียว

ที่มา: mashable.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook