รีวิว HTC One M9+ ความหวังใหม่ในการบุกตลาดพรีเมียมของ HTC

รีวิว HTC One M9+ ความหวังใหม่ในการบุกตลาดพรีเมียมของ HTC

รีวิว HTC One M9+ ความหวังใหม่ในการบุกตลาดพรีเมียมของ HTC
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

      เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา HTC ช็อกแฟนๆ ด้วยการเปิดตัว HTC One M9+ สมาร์ทโฟนเรือธงตัวจริงกว่า HTC One M9 รุ่นปกติ ที่คิดใหม่ทำใหม่ (ไม่นับการออกแบบ) ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์อย่างที่สแกนลายนิ้วมือ การใส่หน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น ความละเอียดสูงกว่า และยังเป็นรุ่นเดียวที่ขายในประเทศไทย หลังจากงานเปิดตัว ทาง Blognone ก็ได้เครื่องมาทดสอบอยู่ราวสองสัปดาห์ และนี่คือรีวิวของ HTC One M9+ ครับ

      สเปคคร่าวๆ ของ HTC One M9+ เรียกได้ว่าแปลกใหม่ในรุ่นเรือธงของ HTC ด้วยการใช้ซีพียู MediaTek รหัส MT6795 แทน Snapdragon เป็นครั้งแรก และปรับหน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 5.5" พร้อมความละเอียดระดับ 2K ส่วนอื่นๆ กล้องหลังความละเอียดสูง 20 เมกะพิกเซลที่ยังใช้งานแบบ Duo Camera ได้ ส่วนสเปคเต็มๆ อ่านได้จากข่าวเปิดตัวครับ

ฮาร์ดแวร์

      ตัวเครื่องรุ่นที่ได้มารีวิวจะเป็นรุ่นความจุ 32GB แรม 3GB สีเงิน-ทอง โดยสีทองของ M9+ จะต่างกับ M8 ตรงที่สว่างกว่ามาก

      หน้าจอของ HTC One M9+ ความละเอียด 2K จัดว่าคมชัดไม่แพ้ใครในตลาด สีหน้าจอติดโทนเย็นเล็กน้อย ความสว่างของหน้าจอน้อยกว่ารุ่นเก่า แต่ใช้งานกลางแจ้งได้ไม่มีปัญหา

      ตำแหน่งการวางของ M9+ เรียกได้ว่าเหมือนกับ M8/M9 ทุกประการ ยกเว้นปุ่มโฮมที่ทำหน้าที่สแกนลายนิ้วมือที่เพิ่มเข้ามาด้านล่าง ใต้โลโก้ HTC

      ด้านบนเหมือนกับรุ่นเดิมทุกประการ ยกเว้นแต่ตัวกล้องหน้าเปลี่ยนมาใช้ UltraPixel ที่โยกมาจากด้านหลังแล้ว

      สำหรับสีตัวเครื่อง รอบนี้ HTC มาแหวกแนวด้วยการทำสีแบบทูโทนในรุ่นสีทอง กลายเป็น เงิน-ทอง โดยขอบตัวเครื่องจะเป็นสีทองเงา ตัดกับด้านหน้าที่เป็นทองอ่อน และด้านหลังที่เป็นสีเงินขัดเส้น

      ปุ่มตัวเครื่องหลักๆ จะอยู่ด้านขวาทั้งหมด รวมถึงปุ่มเปิดเครื่องถูกย้ายมาด้านข้างด้วย เรียงจากซ้ายไปขวาจะเป็นปุ่มเปิดเครื่อง ปุ่มเพิ่มลดเสียง และถาดใส่ micro SD

ด้านซ้ายจะมีถาดสำหรับใส่ nano SIM เท่านั้น

      แม้ว่าจะไม่มีปุ่มใดๆ อยู่ด้านบนแล้ว แต่ M9+ ก็ยังใช้พลาสติกสีดำเงาครอบด้านบนของตัวเครื่องดังเดิม

      ด้านล่างตัวเครื่องสำหรับวางพอร์ต micro USB และพอร์ตหูฟัง 3.5 มม.

      ด้านหลังของ M9+ จะต่างจาก M8 อย่างมาก จากเดิมที่ใช้พื้นผิวโลหะขัดทราย กลายเป็นโลหะขัดเงาที่มีลายเส้นแทน ดูเผินๆ จะรู้สึกเจิดจ้ากว่าเดิมเอาเรื่อง

      ตัวกล้องหลักด้านหลังขนาด 20 เมกะพิกเซล ใช้กระจกครอบขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ประสบการณ์ใช้งาน

      แม้ว่าตัวเครื่อง M9+ จะค่อนข้างใหญ่ด้วยขนาดหน้าจอ 5.5" แต่การใช้งานจริงไม่ได้ถือยากนัก สำหรับคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 5" อยู่แล้ว จุดที่รู้สึกต่างออกไปคือ ขอบตัวเครื่องคมมาก และตัวเครื่องที่เป็นโลหะยังคงง่ายต่อการเป็นรอยขีดข่วน

      ด้วยความที่ตัวเครื่องเป็นโลหะยังเป็นจุดอ่อนด้านการนำความร้อนเหมือนเดิมครับ

      ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่างการปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือทำ งานได้รวดเร็ว และใช้ได้หลายทิศทางอย่างที่โฆษณาไว้ เพียงแต่ต้องทำตามคำแนะนำช่วงแรกอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่การสแกนลายนิ้วมือครั้งแรกไปในทางเดียวกัน สแกนให้ครอบคลุมทั้งนิ้ว ซึ่งไม่ยากจนเกินไปครับ

 

      สำหรับการใช้งานสแกนลายนิ้วมือ จะใช้ปลดล็อกได้ทันทีแม้ว่าหน้าจอจะดับอยู่ โดยแน่นอนว่าต้องตั้งค่าล็อกหน้าจอด้วยรหัสไว้ด้วย (จะเป็นตัวเลข หรือวาดนิ้วก็ว่าไป) โดยจะต้องใส่รหัสยืนยันใหม่ทุกครั้งที่รีสตาร์ทเครื่อง ทุก 48 ชั่วโมง และทุกครั้งที่สแกนลายนิ้วมือผิดพลาดติดต่อกัน 4 ครั้ง

      นอกเหนือจากการปลดล็อกแล้ว สามารถใช้นิ้วใดก็ได้ในการกดเพื่อกลับไปยังหน้าโฮม ซึ่งสะดวกสำหรับคนที่ชินการมีปุ่มโฮมในเครื่องมาก่อน (แต่จะกลายเป็นว่ามีปุ่มโฮมสองปุ่มอยู่ใกล้ๆ กันแทน)

      สำหรับฟีเจอร์ลำโพงคู่ BoomSound ที่ครั้งนี้มาพร้อมกับ Dolby Digital Surround นอกจากจะเปิดปิดได้แล้ว ยังเพิ่มโหมดใหม่อย่าง Theather Mode เข้ามาร่วมกับของเดิมอย่าง Music Mode ด้วย

      ความต่างของสองโหมดนี้อยู่ความกว้างของสเตจใน Theater Mode จะมากกว่า ส่วน Music Mode จะเพิ่มเบส และเสียงคนร้องให้ชัดเจนแทน

 

      ส่วนคุณภาพของลำโพง BoomSound จัดว่าทัดเทียมกับของเดิมครับ

การใช้งานต่อหนึ่งการชาร์จของ M9+ ไม่อึดอย่างที่คาดไว้ เปิดใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งวัน มีแจ้งเตือนขึ้นเป็นระยะ สามารถอยู่ได้เกินวันสบายๆ แต่พอใช้งานแอพอย่างเกม หรือ YouTube แล้วแบตเตอรี่จะลดไวมาก

ซอฟต์แวร์

      M9+ ที่รีวิว รัน Android 5.0.2 ครอบทับด้วย HTC Sense 7 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง HTC Theme และ Sense Home มาค่อยๆ ดูกันว่าเป็นอย่างไรกันบ้างครับ

      ตัวหน้าหลักของ Sense 7 จะมาแบบเรียบๆ ด้านซ้ายสุดเป็น BlinkFeed สำหรับแสดงอัพเดต และข่าวสารต่างๆ ส่วนหน้ากลางจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Sense Home เข้ามา

 

      Sense Home คือวิดเจ็ตสำหรับรวมแอพอิงตามการใช้งาน โดยสามารถเปลี่ยนอัตโนมัติอิงตามสถานที่ โดยครั้งแรกที่เปิดเครื่อง ก็จะแนะนำ และถามข้อมูลก่อนใช้งาน โดยมีสามตัวเลือกหลักๆ คือ ใช้งานที่บ้าน ใช้ทำงาน และสำหรับออกนอกสถานที่

 

      ชุดแอพเบื้องต้นที่ Sense Home เลือกมาให้มีตามนี้ครับ (สามารถปิดหน้า download และ suggest ได้)

เน้นความบันเทิง สำหรับใช้งานในบ้าน

เน้น productivity สำหรับใช้ทำงาน

เน้นบริการอิงสถานที่ สำหรับใช้งานนอกสถานที่

      ตัว Sense Home สามารถเลือกได้ว่าจะให้ปรับเองโดยอิงจากการเชื่อมเข้ากับสถานที่ หรือ Wi-Fi หรือจะปรับเองด้วยมือก็ทำได้เช่นกัน

 

      หลังจากลองใช้งานมาพักหนึ่งพบว่า Sense Home เป็นกิมมิกที่น่าสนใจ แต่ไม่สะดวกเท่ากับการวางแอพใช้บ่อยไว้หน้าแรก ซึ่งสามารถเลือกได้ตามชอบมากกว่าครับ

      อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Sense Theme หน้ารวมชุดธีมสำหรับปรับแต่งเครื่อง ซึ่งมีละเอียดตั้งแต่เปลี่ยนยกชุด หรือจะเปลี่ยนเฉพาะพื้นหลัง ไอคอน ริงโทน ฟอนต์ก็ยังได้

      วิธีการใช้งานนั้นง่ายตามประสา เลือกธีมที่ต้องการแล้วสามารถดาวน์โหลดได้ทันที สำหรับการลงแบบทั้งธีมจะเลือกให้ไม่เปลี่ยนภาพพื้นหลัง และเสียงริงโทนได้

 

ติดตั้ง!

 

      สำหรับคนที่อยากเลือกทำธีมเองโดยใช้ ไอคอน ฟอนต์ และเสียงริงโทนจาก Sense Theme ก็สามารถทำได้ด้วยการกดปุ่ม + ที่มุมขวาบน โดยตัวแอพจะให้เราเลือกภาพพื้นหลัง และพรีวิวชุดไอคอน และฟอนต์ให้ดูเสร็จสรรพ

 

      สำหรับ Sense Theme ทำออกมาได้ใช้ง่าย และการเปลี่ยนเฉพาะส่วนก็ทำได้ดี เสียแค่ยังมีตัวเลือกให้น้อยไปหน่อย

      การใช้งาน Sense 7 โดยรวมลื่นไหล และอินเทอร์เฟซที่ทำออกมาได้สะอาดดี ของที่ไม่ค่อยใช้อย่าง BlinkFeed ก็ยังไม่ได้ใช้กันต่อไป ส่วนของเดิมที่ดีแล้วอย่าง Motion Launch ในรุ่นนี้ก็เพิ่มหน้าอธิบายการใช้งานให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิมที่เป็นข้อความ ยาวๆ อ่านยาก

      ปิดท้ายกันที่ผลการทดสอบด้วย AnTuTu หลังอัพเดตแล้วเร็วขึ้นราว 10% กระโดดจากที่ 47,000 คะแนนไปเป็น 51,625 คะแนน แซงหน้า Snapdragon 810 อย่างเป็นทางการ

 

กล้อง

      กล้องใน M9+ น่าจะเป็นส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดจากรุ่นเดิม โดยฝั่งอินเทอร์เฟซปรับไปจาก M8 เล็กน้อยตรงที่มีโหมดความละเอียดสูง และโหมดกล้องคู่ (Duo Camera) แยกกันชัดเจน (ของ M8 จะรวมกัน)

      การตั้งค่าในแอพกล้องของ M9+ ยังใช้แบบเดิมคือกดที่ปุ่มเมนูเพื่อขยายเมนู สามารถปรับได้ทุกอย่างในหน้าแรกตั้งแต่ ความละเอียดภาพนิ่ง, ความละเอียดวิดีโอ, ISO, สมดุลแสง และชดเชยแสง

      ในหน้ารวมภาพของ M9+ จะเพิ่มไอคอนใหม่เข้ามาคือ Duo Camera สำหรับใช้เข้าถึงเมนูปรับแต่งภาพอย่างไว ข้ามการกดเมนูแบบเดิมไป

 

      ฟีเจอร์ถ่ายภาพรัว พร้อมเลือกภาพดีที่สุดก็ยังมีอยู่ใน M9 ใช้งานด้วยการกดปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้ครับ

      เพื่อเปรียบเทียบให้ชัดว่า M9+ ที่เปลี่ยนไปใช้กล้องความละเอียดสูงขึ้นแล้วแตกต่างจากรุ่นเดิมแค่ไหน จึงมีภาพเปรียบเทียบกับ M8 ที่ถ่ายพร้อมกันมาให้ดูในหลายๆ สภาพแสงครับ (ดูภาพขนาดเต็มของ M9+ และ M8)


      บน M9+, ล่าง M8 ภาพถ่ายในที่แสงน้อยจะเห็นว่า M9+ มีปัญหากับการควบคุมแสงแฟลร์มากเป็นพิเศษ แต่ในทางกลับกัน ความละเอียดที่มากกว่า และเซนเซอร์ที่ดีขึ้นก็ทำให้นอยส์น้อยกว่าอย่างชัดเจนเช่นกัน (และไม่คม อันนี้ไม่รู้ทำไม)


      บน M9+, ล่าง M8 ขยับมาเป็นถ่ายแบบในร่ม ทั้งสองรุ่นไปกันคนละทาง ฝั่ง M9+ จะออกสีซีดนิดหน่อย ส่วน M8 นั้นสีเข้มว่าต้นแบบ แปลกคือ M8 ภาพคมชัดกว่าครับ


      บน M9+, ล่าง M8 สำหรับในสภาพแสงปกติ ทั้งสองรุ่นไม่แตกต่างกันมาก ฝั่ง M9+ จะสว่างกว่าตัวแบบนิดหน่อยครับ

      ภาพที่เหลือด้านล่างถ่ายมาหลังจากอัพเดตเมื่อสัปดาห์ก่อน ความเปลี่ยนแปลงของกล้องที่สังเกตได้คือ คมชัดขึ้นแล้ว! โฟกัสไวขึ้นเล็กน้อย และคุมแสงได้ดีขึ้นครับ

      ปัญหาที่เจอของ M9+ จะเป็นเวลาที่มีแหล่งกำเนิดแสงหลายที่ จะมีทั้งแฟลร์ และสมดุลแสงเพี้ยนให้เห็นบ่อยครั้งครับ สำหรับการถ่ายด้วยโหมดความละเอียดสูง กับกล้องคู่ โหมดกล้องคู่จะสว่างกว่าต้นแบบไปเล็กน้อย และคมชัดน้อยกว่าครับ

สรุป

      HTC One M9+ เป็นความพยายามเปลี่ยนตัวเองของ HTC ที่น่าสนใจ การใส่ที่สแกนลายนิ้วมือเข้ามา แม้จะไม่สวยในสายตาบางคน แต่เป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานได้จริง รวดเร็ว แม่นยำ

      คุณภาพกล้องก่อนอัพเดต แย่มาก ... หลังอัพเดตดีขึ้น แต่เทียบกับคู่แข่งแล้วก็ยังตามหลังอยู่พอสมควร กล้องคู่ที่เคยเป็นจุดเด่น ตอนนี้มีก็เหมือนไม่มีไปเสียแล้ว

      ราคาเปิดที่ 24,990 บาท แพงไปหน่อยครับ

ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย:

Facebook :

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

Facebook :

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

Facebook :

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook