แค่ 10 วินาที ก็ทำให้ iPhone เร็วขึ้นได้ ทำอย่างไร มาดูกัน

แค่ 10 วินาที ก็ทำให้ iPhone เร็วขึ้นได้ ทำอย่างไร มาดูกัน

แค่ 10 วินาที ก็ทำให้ iPhone เร็วขึ้นได้ ทำอย่างไร มาดูกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

       เชื่อได้ว่า ผู้ใช้ iPhone หลายๆ ท่านคงจะประสบปัญหานี้กันมาบ้างแล้วอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาแอปฯ ประมวลผลช้า ใช้งานกระตุกบ้างเป็นบางเวลา หรือใช้งานไม่ลื่นไหลเหมือนแต่ก่อน จริงอยู่ที่ การแก้ปัญหาด้วยการ กดปุ่ม Power เพื่อปิดเครื่อง และเปิดขึ้นมาใหม่

       ซึ่งวิธีการดังกล่าว จะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง แต่มีอีกวิธี ที่ใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาทีเท่านั้น ก็ทำให้ iPhone เร็วขึ้นกว่าเดิมได้

เพราะเหตุใด ถึงต้องทำการรีสตาร์ท iPhone?

       ปกติแล้ว ระบบปฏิบัติการ iOS เป็นระบบที่ค่อนข้างเสถียรอีกระบบหนึ่ง และมีโอกาสน้อยครั้งมากที่ตัวเครื่องจะมีอาการรวน ไม่ว่าจะเป็น App crash หรืออาการแอปฯ เด้งออกมาขณะกำลังใช้งาน หรือถ้าจะเป็นอาการที่หนักที่สุด นั่นก็คือ ตัวเครื่องค้าง ไม่สามารถเข้าแอปฯ ใดๆ ได้ ซึ่งสาเหตุดังกล่าว ทำให้ต้องทำการ รีสตาร์ท หรือ รีเซ็ต ตัวเครื่อง นั่นเอง

       ปกติแล้ว การรีสตาร์ท iPhone นั้น สามารถทำได้ 2 วิธีด้วยกัน โดยวิธีแรก ก็คือ ให้กดปุ่ม Power ค้างไว้ จนขึ้นแถบ Slide to power off แล้วใช้นิ้วเลื่อนแถบดังกล่าว เพื่อทำการปิดเครื่อง จากนั้น กดปุ่ม Power ค้างไว้อีกครั้ง จนกว่าจะขึ้นโลโก้ Apple เป็นอันเสร็จสิ้น

       ส่วนวิธีที่สอง ก็คือ ให้กดปุ่ม Power ค้างไว้จนขึ้นแถบ Slide to power off เช่นกัน จากนั้น ให้ใช้นิ้วกดปุ่ม Home ค้างไว้ นานประมาณ 10 วินาที จะกว่า iPhone จะกลับสู่หน้า Homescreen

       ซึ่งวิธีที่สองนี้ ถือว่า เป็นการรีเซ็ตตัวเครื่อง ที่แตกต่างจากวิธีแรก โดยวิธีแรก จะเป็นการรีสตาร์ทแบบ soft reset ซึ่งโปรแกรมที่เปิดค้างเอาไว้ จะยังมีการใช้งานหน่วยความจำ (RAM) ภายในตัวเครื่อง ในขณะที่ วิธีที่สอง จะมีการล้างข้อมูลที่อยู่ใน RAM และล้าง cache ในตัวเครื่องออกไป ซึ่งถือว่า สมบูรณ์มากกว่าซึ่งเราสามารถทดสอบได้ด้วยการ เปิด App Switcher (กดปุ่ม Home 2 ครั้ง) จะเห็นว่า ยังคงมีตัวแอปฯ ค้างไว้อยู่ แต่เมื่อเราเปิดใช้งาน แอปฯ ต่างๆ เหล่านั้น จะมีการรีโหลดใหม่ เหมือนกับเริ่มใช้งานใหม่นั่นเอง

       โดยวิธีนี้ สามารถนำไปใช้กับ iPad และ iPod Touch ได้อีกด้วย ลองนำไปปรับใช้งานกันดูครับ

 

ที่มา : gizmodo.com

แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook