ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ ที่หลงเชื่อมาตั้งนาน

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ ที่หลงเชื่อมาตั้งนาน

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ ที่หลงเชื่อมาตั้งนาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับบทความที่เกี่ยวกับ วิธีการถนอมและยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟน เชื่อได้ว่า หลายๆ ท่านคงจะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง แต่ข้อมูลจากแต่ละที่มักจะไม่ตรงกัน จนเกิดความสับสนว่า ควรจะเชื่อข้อมูลจากแหล่งใดกันแน่ อันที่จริงแล้ว ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่นั้น เกิดขึ้นมาจากการนำความเข้าใจในการชาร์จแบตเตอรี่แบบเก่ามาใช้เสียมากกว่า

ซึ่งก่อนที่สมาร์ทโฟนรุ่นปัจจุบัน จะใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Ion นั้น คงจะจำกันได้ว่า แบตเตอรี่บนโทรศัพท์มือถือนั้น เป็นแบบ Nickel (นิกเกิล) ซึ่งมีวิธีการชาร์จที่แตกต่างจากแบตเตอรี่แบบ Li-Ion อยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะอธิบายถึงแบตเตอรี่แบบ Li-ion นั้น เรามาทำความเข้าใจวิธีการทำงานของแบตเตอรี่แบบ Nickel กันก่อน

แบตเตอรี่แบบ Ni-MH

สำหรับแบตเตอรี่แบบนิกเกิล ที่เราได้ยินกันจนชินนั้น มีอักษรย่อว่า Ni-MH (Nickel-Metal-Hydride) ซึ่งพัฒนามาจากแบตเตอรี่รุ่นแรกอย่าง Ni-Cd (Nickel-Cadmium) โดยปรับปรุงให้มีความจุมากขึ้นในขนาดเท่าเดิม ซึ่งแบตเตอรี่แบบนี้ จะมีปัญหาเรื่อง Memory Effect ที่จะต้องทำการคลายประจุออกให้หมดเสียก่อน จึงจะชาร์จแบตเข้าไปใหม่ จาก 0% จนเต็ม 100% ได้ (Fully Discharged) จึงไม่น่าแปลกใจว่า โทรศัพท์มือถือเมื่อ 10 ปีก่อน ไม่ควรทำการชาร์จแบตบ่อยๆ ถ้าหากแบตยังไม่หมด เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เนื่องมาจากปัญหา Memory Effect เพราะการชาร์จตอนที่แบตเตอรี่ยังไม่หมด จะเป็นสร้างความจำให้กับแบตเตอรี่ว่า มีความจุภายในน้อยลงนั่นเอง

แต่สำหรับแบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion หรือ Li-Ion นั้น แตกต่างจากแบตเตอรี่แบบ Ni-MH อย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะปรับดีไซน์ให้มีขนาดเล็กลงแล้ว ยังตัดปัญหาเรื่อง Memory Effect ออกไปด้วย ทำให้สามารถชาร์จได้บ่อย และไม่จำเป็นต้องชาร์จจนเต็ม 100% ซึ่งแบตเตอรี่ประเภทนี้ จะมีสิ่งที่เรียกว่า Charge Cycle หรือ ตัวเลขที่ประมาณรอบการใช้งานของแบตเตอรี่ก่อนที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อม อธิบายง่ายๆ ก็คือ สมมติว่า ใช้แบตเตอรี่จาก 100% จนเหลือ 50% แล้วนำไปชาร์จเพิ่มจนเต็ม 100% และใช้งานจนเหลือ 50% แบบนี้ จะนับเป็น 1 รอบ Charge Cycle ครับ

อันที่จริงแล้ว การที่แบตเตอรี่เริ่มเสื่อม ไม่ได้มีสาเหตุจากการใช้งานจนครบ Charge Cycle อย่างเดียว เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ไปลดรอบ Charge Cycle ให้ลดลง มีอะไรบ้าง มาดูกันครับ

ความร้อน ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว

อุณหภูมิที่ร้อนจัด หรือเย็นจัด ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งเป็นกับทุกอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่บรรจุ ไม่ใช่เฉพาะสมาร์ทโฟนเพียงอย่างเดียว อุณหภูมิที่เหมาะสมมากที่สุด ก็คือ อุณหภูมิห้อง นั่นเอง หลายๆ ท่านคงจะเกิดความสงสัยว่า ใครจะเสี่ยงเอาสมาร์ทโฟนไปใกล้กองไฟ หรือเปลวไฟ ความร้อนในที่นี้ รวมถึง การลืมสมาร์ทโฟนทิ้งไว้ในรถยนต์เช่นกัน ซึ่งเป็นสาเหตุลำดับต้นๆ ที่ทำให้แบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟนเสื่อมเร็วขึ้น

หลายๆ ท่านคิดว่า การแช่แบตเตอรี่สำรองไว้ในตู้เย็น จะเป็นการยืดอายุของแบตเตอรี่ให้นานขึ้น เป็นความคิดที่ผิดนะครับ อย่าได้ไปลองทำกันเชียว

อย่าใช้จนแบตหมดเหลือ 0% และควรชาร์จเมื่อแบตเหลือ 50%

สำหรับแบตเตอรี่แบบ Li-Ion นั้น ไม่ควรใช้งานจนเหลือ 0% เพราะเป็นการทำร้ายแบตเตอรี่ทางอ้อม เนื่องจากแบตเตอรี่ประเภทนี้ ไม่ใช่แบบ Fully Discharged เหมือนแบตเตอรี่แบบ Ni-MH แต่ถ้าหากแบตเตอรี่หมดจนเหลือ 0% เพราะความจำเป็น เนื่องจากหาที่ชาร์จแบตเตอรี่ไม่ได้ในเวลานั้น ให้รีบชาร์จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

คำถามถัดมาก็คือ แล้วเราควรจะชาร์จแบตเมื่อลดลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ ถึงจะส่งผลดีต่อตัวแบตเตอรี่? ซึ่งคำตอบนี้ ทาง Apple ได้เคยชี้แจงว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ก็คือช่วงที่แบตเตอรี่ลดลงเหลือราวๆ 50% จริงอยู่ที่แบตเตอรี่แบบ Li-Ion จะสามารถชาร์จได้บ่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แบตเตอรี่ลดลงจากเดิมแค่ 5-10% ก็เสียบสายชาร์จแล้ว ยิ่งทำแบบนี้บ่อยๆ ยิ่งทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้นครับ ฉะนั้น ข้อควรจำสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบนี้ก็คือ อย่าปล่อยให้แบตหมดเหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จ และอย่าชาร์จจนเต็ม 100% บ่อยๆ

จากข้อมูลข้างต้น มาดูกันดีกว่าว่า เพื่อถนอมให้แบตเตอรี่ใช้งานได้อย่างยาวนานขึ้น สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ มีอะไรกันบ้าง

1. ไม่ควรทิ้งไว้ข้ามคืนสำหรับการชาร์จในครั้งแรก

หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่า การเปิดใช้งานโทรศัพท์มือถือครั้งแรก ควรจะชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ข้ามคืน ซึ่งวิธีนี้ เหมาะสำหรับแบตเตอรี่แบบ Ni-MH เท่านั้น แต่ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Ion กันหมดแล้ว ฉะนั้น จะเสียชาร์จ หรือเลิกชาร์จเมื่อใดก็ได้

2. หลีกเลี่ยงการใช้งานอุปกรณ์ขณะชาร์จแบตเตอรี่

ทุกๆ ครั้งที่ทำการชาร์จแบตเตอรี่ ตัวเครื่องจะเกิดความร้อนสูงมากอยู่แล้ว แต่เมื่อใดที่ทำการชาร์จไปเล่นไปพร้อมกัน กระแสไฟที่ส่งเข้ามาจะเกิดการแบ่งไฟ ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณกระแสไฟสูงขึ้น ส่งผลทำให้ตัวเครื่องร้อนกว่าเดิม และแบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น ฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานอุปกรณ์ขณะทำการชาร์จแบต เพื่อยืดอายุของแบตเตอรี่ให้นานมากขึ้น

3. อย่าใช้งานจนแบตหมดเหลือ 0%

การปล่อยให้แบตหมดเหลือ 0% คือการทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น แต่ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ เนื่องจากไม่สามารถหาที่ชาร์จแบตได้ในตอนนั้น จะต้องรีบหาทางชาร์จแบตให้เร็วที่สุด เพราะการชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่แบตเตอรี่เหลือน้อยนั้น จะทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าเดิม

4. ชาร์จแบตบ่อยๆ ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชาร์จจนเต็ม

แบตเตอรี่แบบ Li-Ion นั้น ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนเหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จ สามารถเสียบชาร์จได้เลยตามต้องการ แต่มีข้อแม้ว่า ไม่ควรชาร์จจนเต็ม 100% และควรชาร์จเมื่อแบตเตอรี่ลดจนถึงระดับ 50% ส่วนการที่แบตเตอรี่ลดลงเพียง 5-10% แล้วเสียบชาร์จ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเช่นกัน

5. อย่าเก็บอุปกรณ์ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

สำหรับใครที่ชอบลืม มือถือ ไว้ในรถเป็นประจำ ควรจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมนี้เสียใหม่ เพราะความร้อนนั้น ส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วมากขึ้น นอกเหนือจากความร้อนแล้ว อุณหภูมิที่เย็นจัด ก็เป็นตัวการทำให้แบตเสื่อมเร็วเช่นกัน

โน้ตบุ๊ค เสียบสายชาร์จค้างไว้ ดีหรือไม่?

สำหรับผู้ที่ใช้งานโน้ตบุ๊ค คงจะสังเกตเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่ตัวเครื่องต้องประมวลผลหนัก อย่างเช่น เล่นเกมกราฟิกสูง หรือเปิดใช้งานโปรแกรมต่างๆ ตัวเครื่องจะร้อนจัด ซึ่งความร้อนนี้เอง ส่งผลต่ออายุของแบตเตอรี่โดยตรง จึงได้มีคำแนะนำว่า ถ้าหากเป็นโน้ตบุ๊คที่สามารถถอดแบตเตอรี่ได้ ให้ถอดแบตออกถ้าหากต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา แต่สำหรับโน้ตบุ๊คที่ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้ อย่างเช่น MacBook Air หรือ MacBook Pro ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากมีระบบตัดไฟเมื่อมีการชาร์จจนเต็มนั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook