เทรนด์ 2017: ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลและมือถือ

เทรนด์ 2017: ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลและมือถือ

เทรนด์ 2017: ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลและมือถือ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในประเทศไทย มีบัญชีบริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ตและมือถือจำนวน 30 ล้านบัญชีโดยประมาณ หลังจากที่รัฐบาลเปิดตัวระบบการชำระเงินแบบ พร้อมเพย์ (Promtpay) ซึงเป็นระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payments System)  

ในปัจจุบัน การใช้งานสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเทคโนโลยีการชำระเงินที่ก้าวหน้ามากขึ้น กำลังเปลี่ยนทิศทางการทำธุรกิจทั่วโลก และกลายเป็นสิ่งสำคัญแก่ผู้ให้บริการทางการชำระเงินบนมือถือในการติดตามและปรับตัวตามเทรนด์ใหม่ๆ สำหรับเทคโนโลยีมือถือและดิจิทัล ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2560 นี่คือ 3 เทรนด์ดิจิทัลใหม่ๆ ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงบริการทางการเงินบนมือถือมีดังต่อไปนี้

เงินเสมือนจริง

นับตั้งแต่ปี 2551 การปรากฏตัวของบิทคอยน์ได้รับอิทธิพลมาปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้กลายเป็นสกุลเงินหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงได้มากที่สุดในโลกนี้ แม้จะมีความไม่มีเสถียรภาพ ธุรกรรมของบิทคอยน์มากกว่า 100,000 รายการเกิดขึ้นในแต่ละวันและปริมาณธุรกรรมได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเนื่องมาจากเทคโนโลยีบล็อกเชนแบบเพียร์ทูเพียร์ที่เปลี่ยนแปลงของบิทคอยน์ ซึ่งจัดเก็บข้อมูลไว้ในคอมพิวเตอร์ทั่วโลกและได้รับการอัพเดตแบบเรียบไทม์อย่างต่อเนื่องเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสำหรับคลังสินค้า ยอดขาย และบัญชี ตลาดการโอนเงินทั่วโลกจะกลายเป็นสถานที่ที่บิทคอยน์มีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอนาคต

ในปัจจุบันการโอนเงินมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนาเพิ่มมากขึ้น ที่คอยสนับสนุนครอบครัวและชุมชนที่ในประเทศที่ยากจนมากที่สุดบางประเทศและอยู่ในระดับเดียวกับปริมาณความช่วยเหลือทางการเงินที่ได้รับ ในความเป็นจริงแล้วการโอนงานสำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาที่ได้รับการประเมินจากธนาคารโลก ขยายตัวถึง 6.3% หรือ 414 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2015 และจะมีปริมาณสูงถึง 540 พันล้านดอลลาร์ในปลายปี 2016 อย่างไรก็ตาม ยอดเงินของการโอนเงินที่สูงในปัจจุบันได้สูญไปกับการเรียกเก็บค่าบริการที่สูงจากบริษัทตัวกลางด้วยปริมาณที่ส่งไปที่ 7.60% โดยเฉลี่ยขณะที่ขั้นตอนการโอนเงินใช้เวลาสูงสุด 5-6 วัน ค่าธรรมเนียมที่สูงและความล่าช้าเหล่านี้ผลักดันให้คนทำงานนอกประเทศมองหาวิธีอื่นๆ ในการส่งเงินไปยังบ้านเกิดของตน ในขณะที่ธุรกรรมของบิทคอยน์สามารถยืนยัน จ่ายชำระ และลงชื่อโดยเครือข่ายโดยไม่เสียค่าบริการภายในหนึ่งชั่วโมงได้ พวกเขาจึงสร้างโซลูชั่นที่สมบูรณ์แบบ เงินเสมือนจริงนี้สามารถแปลงกลับไปเป็นสกุลเงินธรรมดาได้ในอัตราแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าสำหรับการถอนโดยผู้รับผ่านโทรศัพท์มือถือหรือบัญชีธนาคาร ซึ่งดูเหมือนว่าการปรับเปลี่ยนกรอบความคิดของบิทคอยน์สำหรับการโอนเงินพร้อมที่จะเพิ่มอิทธิพลต่อภาคการเงินบนมือถือทั่วโลกแล้ว เทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Technology)

การชำระเงินบนมือกลายเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริโภคจำนวนมาก ในปัจจุบันผู้ผลิตกำลังมองหาการปรับเปลี่ยนกระบวนการดังกล่าวโดยช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ชำระเงินด้วยเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Technology) เมื่อไม่นานมานี้บริษัทด้านเทคโนโลยีได้เปิดตัวโซลูชั่นด้านวัตกรรมที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลแบบไร้สายด้วยคลื่นความถี่ในระยะใกล้ (NFC) ที่สามารใช้งานได้ดีกับโครงสร้างแบบไร้สัมผัส รวมทั้งเสียงกริ่ง สายเชื่อมต่อ และสติ๊กเกอร์ อีกทั้งสายรัดข้อมือและนาฬิกาข้อมือที่สามารถทำงานในระบบการชำระเงินบนมือถือ ในขณะเดียวกัน มีธนาคารจำนวนหนึ่งเลือกใช้เทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Technology) ในขณะที่หลายๆ องค์กรมีความพร้อมในการปรับเปลี่ยนแอพพลิเคชั่นการชำระเงินบนมือถือมาเป็นนาฬิกาอัจฉริยะซึ่งมีการพิจารณาสำหรับตลาดเฉพาะกลุ่ม  พบว่ามีผู้ใช้งานจำนวนมากที่ยังใช้งานสมาร์ท วอชเป็นจำนวนกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2558 และคาดว่าในปี 2563 จะเพิ่มขึ้นสูงถึง 34 พันล้านดอลลาร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ที่รองรับช่องทางการจ่ายเงินในรูปแบบ NFC ซึ่งเหมาะกับผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้งานของโซลูชั่นไร้สาย ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมบางแห่งคาดว่าสมาร์ทโฟนจะสามารถสร้างความโดดเด่นในกระบวนการชำระเงิน โดยมีผู้ประกอบการบางรายเชื่อว่าสมาร์ทโฟนจะเข้าเป็นอุปกรณ์ทางเลือกด้านการชำระเงิน


ไบโอเมตริกซ์

ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่เริ่มต้นทำธุรกรรมรูปแบบดิจิทัลบนมือถือมากกว่าในอดีต ซึ่งสามารถรองรับการตรวจสอบความถูกต้องได้ รวมทั้งการทำธุรกรรมบนมือถือซึ่งจะมีการรองรับทางด้านความปลอดภัยและโปร่งใสมาก อย่างไรก็ตามความท้าทายทางด้านความสมดุลของกระบวนการขั้นพื้นฐานที่เป็นไปได้สำหรับลูกค้าในอนาคต อีกทั้ง กลุ่มของลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียลหรือกลุ่มเจอเนอเรชั่นวาย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจกับมือถือเป็นอย่างมาก แต่สำหรับลูกค้าที่ไม่มีบัญชีธนาคารซึ่งเป็นกลุ่มพิจารณาทางด้านดุลการชำระเงิน (BOP) จะอยู่ในส่วนล่างของพีระมิดทางเศรษฐกิจซึ่งมีความเชื่อมโยงกับนโยบาย AML และ KYC

ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปี 2560 โซลูชั่นดังกล่าว ได้แก้ เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์และกระบวนการจดจำลูกค้าแบบอัตโนมัติผ่านคุณลักษณะทางชีวภาพ เช่น การจดจำด้วยเสียงและลักษณะของรูม่านตา ลายนิ้วมือ และรูปแบบการตรวจจับเส้นเลือดบนนิ้วมือ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ซ้ำกันสำหรับผู้ใช้งานแต่ละคนเพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ

การใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์สำหรับการจัดการ KYC ในบริการด้านการเงินและการธนาคารช่วยให้สามารถตรวจสอบตัวตนได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ ที่จะมอบประการณ์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นแก่ผู้ใช้ อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในด้านความปลอดภัยลงอีกด้วย ในความเป็นจริงแล้วโครงการ Biometrics Research Group เป็นการนำเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ระบบใหม่มาใช้งานในอุตสาหกรรมการเงินธนาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านการดำเนินงานของสถาบันทางการเงิน อย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ในอีก 10 ปีข้างหน้าจนกว่าสถาบันทางการเงินจะพิจารณาและคิดค้นวิธีการตรวจสอบการด้านชีวภาพในระบบการดำเนินงานที่ดีที่สุด

เราได้ก้าวเข้าสู่ ปี 2560  เงินเสมือนจริงหรือ เทคโนโลยี Block Chain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable  Tech) และไบโอเมตริกซ์ล้วนเป็นเทรนด์ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อโลกแห่งบริการทางการเงินบนมือถือ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมการพัฒนาภายในอุตสาหกรรมการบริการทางการเงินบนมือถือจากการมุ่งเน้นการทำงานสำหรับผู้ที่ต้องการตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า อนาคตของบริการทางการเงินบนมือถือจะกลายเป็นระบบดิจิทัลอย่างแท้จริง

โดย มาย่า บาร์เค่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook