สัมผัสแรก iPhone 7 (PRODUCT)RED Special Edition ไอโฟนสีแดงรุ่นแรกของค่ายผลไม้

สัมผัสแรก iPhone 7 (PRODUCT)RED Special Edition ไอโฟนสีแดงรุ่นแรกของค่ายผลไม้

สัมผัสแรก iPhone 7 (PRODUCT)RED Special Edition ไอโฟนสีแดงรุ่นแรกของค่ายผลไม้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook


สัมผัสแรก iPhone 7 (PRODUCT)RED Special Edition ไอโฟนสีแดงรุ่นแรกของค่ายผลไม้ พร้อมเคส iPhone 7 และสาย Apple Watch สีใหม่ล่าสุด!  

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ก็นับเป็นวันสิ้นสุดการรอคอยของแฟนๆ ค่าย Apple ในบ้านเรา เพราะเป็นวันแรกที่ Apple วางจำหน่าย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus รุ่นพิเศษเพิ่มเติมในรูปโฉมสีแดงแรงฤทธิ์

ซึ่งไอโฟนรุ่นก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสีที่สดใสจัดจ้านแบบนี้มาก่อน โดยมาในชื่อเต็มๆ ว่า iPhone 7 (PRODUCT)RED Special Edition ที่นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของสีแล้ว ก็ยังมีเบื้องหลังที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ทุกการจำหน่ายจะนำไปสมทบทุนให้กองทุนโลก เพื่อสนับสนุนโครงการเกี่ยวกับ HIV/AIDS ซึ่งก็เป็นเหมือนการช่วยสร้างยุคใหม่ที่ปราศจากโรคเอดส์นั่นเอง

และพร้อมกันนี้ Apple ก็ได้เปิดตัวเคส iPhone 7 / iPhone 7 Plus และสายนาฬิกา Apple Watch สีใหม่ล่าสุดออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่ทีมงานของเรามีโอกาสได้ไปสัมผัสกับตัวจริงเสียงจริงของผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดกลุ่มนี้ และได้แวะมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกัน ซึ่ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED Special Edition นี้ จะมีรูปลักษณ์ดีไซน์สวยงามขึ้นกว่าเดิมอย่างไร และอุปเสริมแบบใหม่นั้นมีอะไรบ้าง ติดตามชมไปพร้อมกันได้เลยครับ

2

 

ด้านหน้าส่วนบนประกอบด้วย กล้องดิจิทัล Facetime HD ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ลำโพงสำหรับฟังขณะทำการสนทนา, Accelerometer Sensor สำหรับช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้, Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน และAmbient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม

3

 

ด้านหน้าส่วนล่างประกอบด้วย ปุ่มโฮมแบบใหม่ที่ใช้งานระบบ Taptic Engine พร้อมเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID

4

 

ด้านบนของตัวเครื่องครอบคลุมด้วยโลหะ 7000 Series Aluminum สุดแกร่ง

5

 

ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วย ลำโพงคู่ (Dual-Speaker) แบบสเตอริโอ และช่องเชื่อมต่อ Lightning Port สำหรับการถ่ายโอนข้อมูล หรือชาร์จแบตเตอรี่

6

 

ด้านซ้ายของตัวเครื่องประกอบด้วย ปุ่ม เปิด-ปิด เสียง และปุ่ม เพิ่ม-ลด เสียง

7

 

ด้านขวาของตัวเครื่องประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด (รองรับการใช้งานแบบ nanoSIM) และปุ่ม เปิด-ปิด เครื่อง หรือล็อกหน้าจอ

8

 

ด้านหลังของตัวเครื่องถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงสดใสทั่วทั้งตัวเครื่อง ซึ่งเห็นแล้วเป็นเอกลักษณ์ และดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง

9

 

ด้านหลังประกอบด้วย กล้องดิจิทัล iSight แบบคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่ใช้งานเลนส์สองแบบ คือ เลนส์มุมกว้าง (Wide) ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.8 และเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล (Telephoto) ที่มีขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.8 สามารถซูมภาพแบบ Optical Zoom ได้ถึง 2 เท่า แบบปกติ และสามารถซูมได้ถึง 10 เท่าจากซอฟต์แวร์ พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพอัจฉริยะใหม่ล่าสุด, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS), ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ใช้โครงสร้าง 6 ชิ้นเลนส์ และไฟแฟลชสี่ดวง (Quad-LED)

10

 

ด้านหลังส่วนล่างประทับตราโลโก้ iPhone (PRODUCT)RED ที่ดูโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ให้เห็นอย่างชัดเจน

11

12

 

 

 

เปรียบเทียบขนาดตัวเครื่องของ iPhone 7 Plus (ซ้าย) และ iPhone 7 (ขวา) ในไลน์การผลิตของ PRODUCT(RED) ซึ่งจะเห็นได้ว่า iPhone 7 Plus จะมีขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า เพราะมีขนาดหน้าจอที่ 5.5 นิ้ว และใช้งานกล้องดิจิทัลแบบคู่ (Dual-Camera) ส่วน iPhone 7 ใช้งานหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว และกล้องดิจิทัล iSight แบบเดี่ยว

13

14

 

 

เปรียบเทียบ iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED และ iPhone 7 Plus กับสี Jet Black จะเห็นได้ว่าแม้ iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED จะมีพื้นผิวตัวเครื่องเป็นโลหะแบบด้าน (Matte) และไม่เงางามเหมือนกับ iPhone 7 Plus Jet Black แต่ iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED มีสีสันที่สดใส และค่อนข้างสว่างเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสง ทำให้ดูสะดุดตา และโดดเด่นกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เรื่องของสีสันตัวเครื่องนี้ก็อาจขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลด้วยนะครับ

15

16

17

18

 

 

 

 

นอกจาก Apple จะเปิดตัว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในรูปแบบของ (PRODUCT)RED แล้ว Apple ก็ยังเปิดตัวอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมอีก 2 ชนิด คือ เคสป้องกันตัวเครื่อง และสายนาฬิกา Apple Watch ที่มาพร้อมกับสีสันแบบใหม่อย่างหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์ของผู้ใช้มากที่สุด

19

สำหรับ iPhone 7 (PRODUCT)RED Special Edition นั้นมีวางจำหน่ายทั้งหมด 2 ความจุได้แก่ 128GB และ 256GB ในราคาเท่าเดิม ดังนี้

- iPhone 7 (PRODUCT)RED 128GB ราคา 30,500 บาท
- iPhone 7 (PRODUCT)RED 256GB ราคา 34,500 บาท
- iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED 128GB ราคา 35,500 บาท
- iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED 256GB ราคา 39,500 บาท

ส่วนสายนาฬิกา Apple Watch สีใหม่ มีราคาเริ่มต้นที่ 1,900 บาท โดยแบ่งออกเป็นรุ่น และวัสดุ ดังนี้

- สายนาฬิกา Apple Watch แบบ Sport Band ซึ่งใช้วัสดุเป็นยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์คุณภาพสูง ขนาด 38 มม. และ 42 มม. เพิ่มสีชมพูคามิเลีย และสีน้ำเงินอาชัวร์ ราคา 1,900 บาท
- สายนาฬิกา Apple Watch แบบ Nike Sport Band ซึ่งใช้วัสดุเป็นยางฟลูโอโรอีลาสโตเมอร์คุณภาพสูง ขนาด 38 มม. และ 42 มม. เพิ่มสี Pure Platinum/White และสี Anthracite/Black ขนาด S/M และ M/L  ราคา 1,900 บาท
- สายนาฬิกา Apple Watch แบบ Woven Nylon ซึ่งใช้วัสดุเป็นเส้นใยที่มีความทนทานนำมาถักรวมกัน ขนาด 38 มม. และ 42 มม. เพิ่มสีส้ม และสีแดง ราคา 1,900 บาท
- สายนาฬิกา Apple Watch แบบ Classic Buckle ซึ่งใช้วัสดุเป็นหนังลูกวัวแท้เพื่อความพรีเมียม ขนาด 38 มม. และ 42 มม. เพิ่มสีน้ำตาลอมเทา และสีน้ำเงินแซฟไฟร์ ราคา 5,900 บาท

นอกจากสายนาฬิกา Apple Watch แล้ว ยังมีเคสป้องกันตัวเครื่องจาก Apple ที่เพิ่มสีใหม่เข้ามาด้วย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- เคสซิลิโคน iPhone 7 Plus เพิ่มสีน้ำเงินอาชัวร์ และสีน้ำตาลอมเทา โดยมีราคา 1,700 บาท และ 2,200 บาท ตามลำดับ
- เคสซิลิโคน iPhone 7 เพิ่มสีชมพูคามิเลีย ราคา 1,500 บาท
- เคสหนัง iPhone 7 เพิ่มสีน้ำเงินแซฟไฟร์ ราคา 2,100 บาท
- เคสหนัง iPhone SE เพิ่มสีน้ำตาลอานม้า ราคา 1,700 บาท

สำหรับการสั่งซื้อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED สามารถสั่งซื้อผ่านทาง Apple Online Store ได้ทันที ส่วนค่ายมือถือในบ้านเราก็มีการจัดโปรโมชั่นวางจำหน่ายด้วยเช่นกันทั้ง AIS, dtac และ TrueMove H โดยท่านใดที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ผ่านระบบ Online ของแต่ละเครือข่าย แต่จะมีเงื่อนไขบางประการ เช่น สมัครแพ็กเกจเริ่มต้น หรือมีระยะเวลาสัญญากี่เดือน ซึ่งในขณะนี้โปรโมชั่นของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus (PRODUCT)RED ของแต่ละค่ายยังประกาศออกมาไม่ครบทุกค่าย หากท่านใดสนใจอาจจะต้องอดใจรอกันสักเล็กน้อยว่าค่ายไหนจะเปิดโปรมาได้น่าสนใจที่สุดบ้าง และสำหรับวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook