11 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หากต้องการถนอมให้ iPhone อยู่กับคุณไปนานๆ

11 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หากต้องการถนอมให้ iPhone อยู่กับคุณไปนานๆ

11 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หากต้องการถนอมให้ iPhone อยู่กับคุณไปนานๆ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความนี้เป็นการรวบรวมพฤติกรรมที่ควร ลด-ละ-เลิกทำ หากคุณรัก iPhone ของคุณ และไม่อยากให้มันเจ๊งไวกว่าที่มันควรจะเป็น !!!

เพราะ iPhone เครื่องนึงราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ดังนั้น หากคุณได้จับจองเป็นเจ้าของแล้ว ก็คงต้องใช้งานอย่างทะนุถนอมหน่อย

มาดู 11 พฤติกรรมต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของ iPhone ไม่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ มันจะเป็นการทำให้เครื่อง iPhone ของคุณนั้นเสีย และ เจ๊งไวกว่าที่มันควรจะเป็น

(1) ไม่เคยปิดเครื่อง iPhone เลย2

 คำแนะนำที่ดี คือ คุณควรจะเปิดเครื่อง iPhone ของคุณอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งนะครับ เพราะไม่อย่างนั้น แบตเตอรี่ของคุณอาจจะเสื่อมไวกว่ากำหนดก็ได้

ผู้เชี่ยวชาญเคยกล่าวไว้ว่า การเปิดเครื่องไว้ แต่ปิดหน้าจอและไม่ได้ใช้งานอะไรก็มีผลกับแบตเตอรี่เช่นกัน

แต่ก็แล้วแต่กรณีนะครับ เพราะ การทำงานของบางท่าน อาจจะต้องใช้งานโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ การปิดมือถือ อาจทำให้เสียโอกาสบางอย่างไป (แต่ถ้าปิดเครื่องตอนนอน โดยทำสัปดาห์ละครั้งก็คงไม่เป็นไรเนอะ)

(2) เปิด WiFi และ Bluetooth ทิ้งไว้ตลอดเวลา

3

 แน่นอนว่า การเปิด WiFi หรือ Bluetooth ทิ้งไว้ โดยที่ไม่ได้ใช้งานอะไร ถือเป็นการสิ้นเปลืองแบตฯ iPhone โดยใช่เหตุ

ถ้าเกิดว่า ณ เวลานั้น คุณไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้งาน WiFi หรือ Bluetooth ก็ปิดมันซะ . . . ไม่จำเป็นต้องเปิดมันไว้ตลอดเวลาครับ (เปิดใช้งานเฉพาะเวลาที่จะต้องใช้งานเท่านั้น)4

(3) หยิบเครื่องขึ้นมาใช้งานในวันที่อากาศ หนาว/ร้อน จัดๆ

iPhone ไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศ หรืออุณหภูมิที่ร้อนจัดๆ หรือ หนาวจัดๆได้

ดังนั้น การหยิบ iPhone ออกมาใช้งานในวันที่อุณภูมิที่

  • ต่ำกว่า 32 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 0 องศาเซลเซียส
  • สูงกว่า 95 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 35 องศาเซลเซียส

นั้นเป็นอะไรที่ไม่ควรเท่าไหร่ครับ ไม่แนะนำให้ทำอย่างแรง เพราะ อากาศที่สุดโต่งขนาดนั้น อาจจะสูบแบตฯของ iPhone หรือร้อนจัดจนทำให้เครื่อง iPhone ของคุณปิดตัวอย่างอัตโนมัติแบบชั่วคราวก็เป็นได้

ถ้าเกิดคุณรู้ว่าจะต้องไปเผชิญอากาศที่ร้อนหรือเย็นจัดภายนอก พยายามเก็บ iPhone ของคุณไว้ในกระเป๋า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องควักมันออกมา

(4) เสียบชาร์จไฟไว้ทั้งคืน5

 

การเสียบชาร์จ iPhone เอาไว้ตอนนอนนั้น เป็นอะไรที่สะดวกดี แต่ไม่ได้เป็นไอเดียที่ดีเลย

เรื่องการเสียบชาร์จเป็นประเด็นที่ถกเถียงมานานแล้ว แต่มีหลายสื่อระบุว่า การเสียบชาร์จ iPhone ไว้ตลอดเวลา แม้ว่ามันจะชาร์จไฟเต็มแล้วก็ตาม จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวขึ้น

ข้อมูลจาก Gizmodo ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วระบุเอาไว้ว่า แบตเตอรี่จะอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เมื่อคุณดึงมันออกก่อนที่มันจะถึง 100% ซึ่งการถอดปลั๊กก่อนที่มันจะชาร์จเต็มนั้น จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลง

ถ้าเป็นไปได้ พยายามชาร์จ iPhone ในช่วงระหว่างวัน เพื่อที่คุณจะได้มีโอกาสถอดปลั๊กเมื่อมันชาร์จเต็มแล้ว หรือลงทุนซื้อที่ชาร์จที่มันจะหยุดชาร์จเมื่อแบตฯเต็มแล้ว (ลองดูรายละเอียดได้จาก ที่นี่ เลยครับ)

(5) ชาร์จแบตฯไว้เต็มตลอดเวลา หรือ ปล่อยให้แบตฯหมดเกลี้ยง

6

 แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งใช้ในเครื่อง iPhone นั้น จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อระดับของแบตฯอยู่ที่ 50% – 80% โดยข้อมูลนี้กล่าวเอาไว้โดย Shane Broesky ผู้ก่อตั้ง Farbe Teccnik ซึ่งผลิตอุปกรณ์การชาร์จต่างๆ

ในทางกลับกัน การที่ปล่อยให้แบตฯหมดเป็นเวลานานๆนั้น จะทำให้แบตฯตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “Deep Discharge State” ซึ่งเป็นผลให้ตัวเก็บประจุไฟในแบตฯไม่ทำงาน และไม่สามารถเก็บประจุไฟได้ ซึ่งข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลที่ได้มาจาก Apple เอง

ดังนั้น การเสียบชาร์จ iPhone ในระยะเวลาสั้นๆ จะช่วยให้ประจุไฟในแบตนั้นทำงาน มีกำลังไฟเพียงพอต่อการใช้งาน และที่สำคัญ มันยังช่วยยืดอายุแบตฯของคุณได้ด้วย7

(6) ไม่ได้ใช้ที่ชาร์จของแท้ของ Apple

พูดกันตามตรงว่า ที่ชาร์จของแท้ของ Apple นั้น ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว แต่ทาง Apple ก็ยืนยันว่า มันคุ้มที่จะลงทุนนะ

มีข่าวมาแล้วหลายครั้งว่า การใช้ที่ชาร์จที่ไม่ใช่ของ Apple หรือการซื้อที่ชาร์จปลอมนั้น เสี่ยงอันตรายพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ระเบิด หรือ ไฟไหม้เนื่องจากไฟลัดวงจรได้

Apple เองก็มีโครงการ USB Power Adapter Takeback Program เพื่อเอาไว้ให้ผู้ใช้แลกที่ชาร์จปลอม และเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Apple ก็ออกส่วนลดให้สำหรับผู้ใช้ที่ซื้อเครื่องชาร์จของ Apple มาซื้อที่ชาร์จของแท้

(7) ใช้งานโดยไม่ทำความสะอาดเครื่องเลย8

เครื่อง iPhone ที่สกปรก ก็อาจเป็นที่สะสมของเชื้อโรคได้

Apple แนะนำให้ใช้ผ้าไร้ฝุ่น (lint-free cloth) ในการทำความสะอาดเครื่อง iPhone ของคุณ (มีสินค้าบางตัวที่อ้างว่า สามารถใช้แสง UV ในการฆ่าเชื้อให้เครื่อง iPhone ได้)

9

ที่สำคัญ คือ อย่าลืมที่จะทำความสะอาดพอร์ทที่ชาร์จไฟ เพราะ พวกเศษฝุ่น เศษผ้า จากกระเป๋ากางเกง กระเป๋าถือ อาจจะติดอยู่ในช่องนี้ก็เป็นได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาในการเชื่อมต่อ หรือ ปัญหาการชาร์จไฟเมื่อเสียบสายชาร์จเข้ากับพอร์ทชาร์จไฟ . . . แนะนำให้ใช้ไม้จิ้มฟัน หรือ เข็มเล็กๆเขี่ยๆพวกเศษผ้า เศษฝุ่นที่ไปติดในนั้นออกมา

​(8) ถือ iPhone โดยขาดความระมัดระวัง (เสี่ยงต่อการโดนขโมย)

10

 

แน่นอนว่า iPhone เป็นอะไรที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะในพวกตลาดมืด และเป็นเป้าหมายของบรรดาขโมยทั้งหลายเลยก็ว่าได้

สถิติข้อมูลที่เคยเก็บได้ของปี 2013 ระบุว่า คดีการปล้นในเมืองใหญ่ๆนั้นเป็นการปล้นอุปกรณ์มือถือถึง 40% เลย ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่มากอยู่

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องอันตราย ที่ถือ iPhone ลอยไป ลอยมา ล่อแหลมต่อการถูกวิ่งราว (เพราะบางคนใส่กระเป๋าถือ กระเป๋ากางเกง ยังโดนล้วงกระเป๋า และขโมยไปได้เลย)

(9) ไม่ได้ป้องกัน iPhone ด้วยรหัสผ่าน11

 

สถิติระบุว่า ผู้ใช้งาน iPhone กว่าครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ตั้งรหัสผ่าน หรือ passcode เอาไว้

Apple รายงานไว้ในปี 2013 ว่า ถ้าหากผู้ใช้ iPhone ไม่ใส่ passcode และถูกขโมยไปล่ะก็ ข้อมูลต่างๆจะถูกเปิดและฉกไปโดยโจรที่ขโมยไปได้

ดังนั้น การใส่ passcode จึงเป็นวิธีช่วยขั้นต้นไม่ให้พวกขโมยเข้าไปถึงข้อมูลสำคัญในตัวเครื่องได้ง่ายๆ

(10) เปิดแชร์ Location service ในทุกแอพฯ และ เปิดตลอดเวลา

12


แอพฯอย่างเช่น Maps หรือว่า Uber จำเป็นต้องใช้งาน Location services เพื่อให้แอพฯทำงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งแอพฯพวกนี้จะบอกเองว่าให้ผู้ใช้งานเปิดใช้ Location Services ตอนไหน

และก็มีหลายแอพฯที่ทำงานได้ปกติแม้ว่าจะปิด Location Services แล้วก็ตาม

การเปิด / ปิด Location Services สามารถทำได้ดังนี้

  • ไปที่ Settings >>> Privacy >>> Location Services เพื่อเปิด / ปิด Location Services

เมื่อปิด Location Services ก็สามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้พอสมควร

(11) เปิด Push Notifications สำหรับทุกแอพฯ

13

Push Notifications นั้นจะทำให้ผู้ใช้ iPhone ไม่พลาดการแจ้งเตือนจากแอพฯต่างๆได้ แต่มันจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งสูบแบตเตอรี่ใช้ได้เลย

งานวิจัยระบุว่า การแจ้งเตือนของ Push Notifications ของมือถือนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำลายสมาธิเลยก็ว่าได้

ถ้าจะปิด หรือ เลือกเปิดการแจ้งเตือนเฉพาะแอพฯ สามารถเข้าไปได้ที่

  • เข้าไปที่ Settings >>> Notifications >>> จากนั้นก็เลือกแอพฯที่ต้องการเปิด หรือ ปิดได้

ลองทำตามดูทั้ง 11 ข้อนะครับ เพื่อถนอม iPhone ให้อยู่กับคุณได้นานๆหน่อย

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook