รีวิว Vivo V7+ ผู้นำทัพสมาร์ทโฟนจอยาวจาก Vivo

รีวิว Vivo V7+ ผู้นำทัพสมาร์ทโฟนจอยาวจาก Vivo

รีวิว Vivo V7+ ผู้นำทัพสมาร์ทโฟนจอยาวจาก Vivo
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากที่ Samsung ออก Galaxy S8 ที่มีหน้าจอเกือบเต็มขอบด้านหน้าทั้งหมดและมีสัดส่วนที่ยาวกว่าจอปกติ ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความนิยมสมาร์ทโฟนหน้าจอยาวอย่างเป็นทางการนะครับ สมาร์ทโฟนที่ออกในครึ่งหลังของปีนี้ล้วนแต่เริ่มใช้หน้าจอสัดส่วน 18:9 ที่กินพื้นที่เกือบเต็มด้านหน้า ซึ่ง Vivo ก็เช่นกัน ส่ง V7+ สมาร์ทโฟนจอ Fullview ลงตลาดด้วยจุดเด่นกล้องหน้าเทพ Selfie สวย และระบบเสียงอย่างดีเช่นเคย

สเปกของ Vivo V7+

  • CPU : Snapdragon 450 Octa-Core ความเร็ว 1.8 GHz
  • RAM : 4 GB
  • ROM : 64 GB
  • รองรับ MicroSD สูงสุด 256 GB (พร้อมใส่ซิม 2 พร้อม MicroSD ได้ด้วย)
  • หน้าจอ : 5.99 นิ้ว แบบ IPS ความละเอียด 1440 x 720 พิกเซล
  • แบตเตอรี่ : 3,225 mAh
  • OS : Android 7.1.2
  • กล้องหน้า : 24 ล้านพิกเซล f/2.0 พร้อมแฟลชสำหรับถ่าย Selfie
  • กล้องหลัง : 16 ล้านพิกเซล f/2.0

เห็น Vivo V7+ ใช้หน่วยประมวลผล Snapdragon ตระกูล 4 ก็อย่าคิดว่าประสิทธิภาพของมันจะไม่ดีนะครับ เจ้า Snapdragon 450 ตัวใหม่ล่าสุดของ Qualcomm ให้ผลทดสอบออกมาได้คะแนนดีที่สุดในคลาสนี้ (มือถือจอ Full View ราคาประมาณหมื่น) โดยได้คะแนนดังนี้

  • Geekbench 4.1 ได้คะแนน Single Core ที่ 767, คะแนน Multi Core ที่ 3,944 และคะแนน Compute เพื่อวัดประสิทธิภาพ GPU ที่ 3,113 (เทียบกับ Huawei nova2i ได้คะแนน 913, 3273, 2723 ตามลำดับ
  • 3Dmark Slingshot extreme ได้คะแนน 436 (เทียบกับ Huawei nova2i ได้คะแนน 328)
  • Androbench – read 300 / write 215 MB/s

ซึ่งจากการใช้งานจริงร่วมเดือน Vivo V7+ (คือดองรีวิวนานไง เลยใช้อยู่เป็นเดือน) ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลตลอด การใช้งาน facebook, line การท่องเว็บ การเรียกใช้กล้อง วันแรกลื่นไหลยังไง ผ่านมาเดือนหนึ่งก็ยังลื่นไหลอยู่แบบนั้น ถือว่าน่าประทับใจสำหรับสมาร์ทโฟนระดับราคากลางๆ ครับ ส่วนการเล่นเกม ROV ก็ลื่นไหลระดับหนึ่ง เปิดเอฟเฟกจนสุดก็ยังลื่น แต่ถ้าเจออะไรในฉากเยอะๆ เฟรมเรทจะตกจาก 30 fps บ้างนะครับ และการเล่นเกม Hitman: Sniper ในโหมด High ก็เล่นได้ลื่นดี อาจจะมีบางช่วงจังหวะซูมเข้าออกที่กระตุกบ้าง แต่ก็แสดงภาพสวยงาม และแสดงเต็มจอ 18:9 ของ V7+ ครับ

การออกแบบของ Vivo V7+

อุปกรณ์ภายในกล่องของ Vivo V7+ มีเคสใส มีหูฟัง พร้อมอแดปเตอร์จ่ายไฟให้กำลัง 5V 1.6A

ด้านหน้าของ Vivo V7+ นั้นจัดว่าเรียบเลยตามสไตล์การออกแบบมือถือจอ Full View ในยุคนี้ จอ 5.99 นิ้วก็กินเนื้อที่ไปจนเกือบหมดด้านหน้าแล้วเหลือด้านบนที่เป็นพื้นที่ของหูฟัง กล้องหน้าและเซนเซอร์ต่างๆ ส่วนด้านล่างก็เป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่มีอะไร

ส่วนด้านหลังก็เรียบไม่แพ้ด้านหน้า โดยเครื่องที่เราได้รับมาเป็นสีดำ ก็ดำเรียบไปทั้งฝาหลัง มีเพียงโลโก้ Vivo และขีดเสาอากาศด้านบน-ล่างที่สะท้อนแสงเด่นออกมา ส่วนกล้องหลัง เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือนั้นออกแบบในโทนดำให้กลืนไปกับฝาหลังก็ทำให้ฝาหลังนั้นสวยดีครับ

ในเรื่องของการจับถือ ก็เหมือนมือถือจอ 6 นิ้วแบบ Fullview รุ่นอื่นๆ ครับ คือถ้าใช้ 2 มือ ก็สบายดี มองสบายตา ใช้สบายใจ แต่ถ้าใช้มือเดียวนี่จะลำบากเพราะเครื่องบางและจอใหญ่ การจะพิมพ์คีย์บอร์ดหรือกดไปต่อ กดย้อนกลับล้วนลำบาก กลัวเครื่องตกเหลือเกิน

ในส่วนของหน้าจอที่มีความละเอียดแค่ HD 1440 x 720 pixel ไม่ใช่ Full HD เหมือนมือถือที่สเปกสูงกว่านี้ ถามว่าใช้แล้วรู้สึกติดขัดอะไรไหม ก็ไม่นะครับ จอ 6 นิ้วกับความละเอียดแบบ HD นั้นยังไปกันไหวอยู่ ถ้าไม่ได้ไปจ้องตัวอักษรให้เห็นรอยแตก มันก็เป็นจอที่ดีจอหนึ่ง ให้สีสันได้ครบถ้วน สีสันไม่เปลี่ยนไปมากนักเมื่อมองเอียง และการใช้จอความละเอียดไม่มากเกินไปก็ทำให้ประหยัดแบตเตอรี่และทำให้เครื่องเร็วด้วย เพราะ CPU ไม่ต้องประมวลผลเยอะไป (คือจะบอกว่า ถ้าไม่ซีเรียดเรื่องความคมของตัวหนังสือ จอ HD ก็มีข้อดีนะ ไม่ใช่ถือเป็นข้อเสียของเครื่อง)

จอ 18:9 ของ Vivo V7+ ถือว่าทำซอฟต์แวร์ออกมารองรับได้ดี แอปแทบทุกตัวสามารถขยายพื้นที่จนเต็มหน้าจอขนาดใหญ่ได้ จะเล่นเกม เล่นเฟซบุ๊กก็เต็มจอหมด รวมถึงขยายวิดีโอบน Youtube และ LINE TV ให้แสดงเต็มหน้าจอได้ด้วย แต่แอปอย่าง iflix ก็ยังไม่รองรับการขยายวิดีโอเต็มหน้าจอ

Vivo V7+ ยังคงมีพอร์ต 3.5 mm มาให้ครับ ซึ่งถ้าฟังเพลงจากพอร์ตนี้จะให้เสียงที่ดีมาก แต่พอร์ตชาร์จดันเป็น MicroUSB อยู่ ก็ถือว่าน่าเสียดายสำหรับมือถือในยุคนี้ที่ไป USB-C กันส่วนใหญ่แล้ว

ประสบการณ์การใช้ Vivo V7+

Vivo V7+ เป็นสมาร์ทโฟนที่แบตอึดมาก ถ้าใช้งานทั่วไป โทรศัพท์ เล่นเฟซบุ๊ก เล่น LINE สามารถอยู่ได้ 2 วันสบายๆ แบบหมดวันที่ 2 ยังมีแบตเตอรี่เหลืออยู่อีกหน่อย ก็ต้องยกความดีให้ Android 7 ที่จัดการพลังงานได้ดี ชิป Snapdragon 450 ที่กินไฟน้อย และหน้าจอ HD ที่กินไฟน้อยกว่า Full HD ครับ เพราะงั้นถ้าคุณใช้งานมันหนักมากๆ เช่นเล่นเกมต่อเนื่องหลายชั่วโมง ก็เชื่อได้ว่ามันจะอยู่ได้ครบวัน

Vivo V7+ ดู Youtube, LINE TV เต็มจอ 18:9 ได้ อันนี้ดีงาม

การนำทางด้วย GPS ทำได้ดี ใช้เป็น GPS หลักนำทางในรถมาหลายทริป จับสัญญาณได้ดี ไม่มีอาการรวนเมื่อวิ่งใต้ทางด่วนหรือวิ่งลงอุโมงค์ ยังคงนำทางต่อเนื่องได้ เพียงแต่บางครั้ง (นานๆ ที) อาจจะจับเลนถนนผิดบ้าง เช่นอยู่ในทางหลักแต่จับเป็นทางคู่ขนาน ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของ GPS บนสมาร์ทโฟนครับ

Vivo V7+ สามารถปลดล็อกเครื่องได้ทั้งสแกนลายนิ้วมือที่อยู่ด้านหลังเครื่อง และสแกนใบหน้าผ่านกล้องหน้า ในส่วนของลายนิ้วมือคงไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะ มันดีเทียบเท่ากับตัวสแกนลายนิ้วมือของสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ในยุคปัจจุบันครับ (ซึ่งดีกว่า Touch ID ของ iPhone แล้ว) คือแตะปุ๊บก็ปลดล็อกจอให้อย่างรวดเร็ว สแกนนิ้วแม่น นิ้วชื้นๆ ก็ยังสามารถสแกนได้ และสามารถใช้เพื่อล็อกไม่ให้คนอื่นเข้าใช้แอปได้ด้วย ใช้กับแอปเก็บรหัสผ่านอย่าง 1Password ก็ได้

แต่ในส่วนของการปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้า มันทำงานได้เร็วมากครับ เร็วเกินไปด้วยซ้ำ เห็นหน้าก็ปลดล็อกเครื่องได้แล้ว ซึ่งฟังดูเหมือนดีแต่มันไม่ดีครับ เพราะเราแทบไม่สามารถอ่านการแจ้งเตือนของโทรศัพท์แบบไม่ต้องปลดล็อกได้เลย (ซึ่ง iPhone X ทำเรื่องนี้ได้ดีกว่า คือแม้เจอหน้าเจ้าของและปลดล็อกเครื่องแล้ว แต่ผู้ใช้ก็ยังต้องปัดหน้าจอเพื่อเข้าสู่หน้าโฮมอยู่ดี) และการปลดล็อกด้วยใบหน้าจะให้ความปลอดภัยที่ต่ำกว่าปลดล็อกด้วย PIN หรือปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ เพราะใช้รูปถ่ายก็อาจจะปลดล็อกได้แล้ว จึงไม่แนะนำให้ใช้เท่าไหร่ครับ

Vivo V7+ ใส่ได้ 2 ซิมพร้อม MicroSD เจ๋งมาก!

เรื่องเสียง อันนี้ดีงามน้ำตาไหลเลย ก็ตามสไตล์ของ Vivo ที่เน้นเรื่องเสียงมากๆ  Vivo V7+ เลยใช้ชิป AK4376A ซึ่งถ้าเสียบหูฟังหรือต่อเครื่องเสียงผ่านช่อง 3.5 mm มันจะใช้ชิปเสียงตัวนี้และระบบปรับเสียง Hi-Fi ของเครื่องเพื่อปรับเสียงเพลงทั้งจากแอปฟังเพลงของเครื่องเอง หรือแอปฟังสตรีมอย่าง Spotify ให้เสียงดีขึ้น (เวลาเปิดใช้ระบบ Hi-Fi จะมีคำเตือนว่าเครื่องจะใช้พลังงานมากกว่าปกตินะ แบตเตอรี่อาจจะหมดเร็วหน่อย) ถ้าลองฟังเทียบกันจะรู้สึกเลยว่าเมื่อเปิดโหมด Hi-Fi เสียงจะอิ่ม แน่นมาก มันไม่ใช่การปรับเสียงกุ๊งกิ๊ง ให้เสียงใสๆ โปร่งๆ แบบที่หลายระบบเสียงในมือถือชอบทำกัน ระบบของ Vivo คือทำให้เสียงเต็มอิ่ม ฟังแล้วฟินมากขึ้นครับ รักมากระบบนี้ เสียอย่างเดียว มันทำงานร่วมกับหูฟัง Bluetooth ไม่ได้นะครับ เพราะสัญญาณเสียงจะไม่ได้วิ่งผ่าน DAC ตัวนี้

ส่วนลำโพงของเครื่องมีตัวเดียว ให้เสียงที่ดังใช้ได้ครับ คุณภาพเสียงจากลำโพงก็ดีตามมาตรฐานสมาร์ทโฟนครับ ไม่ได้ดีหรือแย่จนต้องพูดถึง

การใช้งานเป็นโทรศัพท์ ก็ทำงานได้ดีครับ รองรับ 4G และใช้งาน VoLTE ได้ด้วย ทำให้โทรออกได้เร็ว เสียงสนทนาดังชัดเจน แต่ก็ขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่เราใช้ด้วยนะครับว่าจะรองรับ VoLTE ไหม (แอดใช้ DTAC) แล้วฟังก์ชั่นที่เราชอบอย่างการบันทึกเสียงสนทนาก็มีให้ครับ

Vivo V7+ แบ่ง 2 จอเพื่อใช้งานได้ แต่ไม่ใช่ทุกแอปนะ

ฟีเจอร์แบบจีนๆ ที่เราชอบก็มีให้ครบ ทั้งการบันทึกหน้าจอตามแนวยาว การโคลนแอปเพื่อใช้ 2 บัญชีพร้อมกันก็มีมาให้ใช้ง่ายๆ แค่แตะค้างเพื่อเข้าโหมดลากเปลี่ยนตำแหน่งไอคอนแอปแล้วกด + ที่แอปที่รองรับเท่านั้นเอง แต่เท่าที่ลองใช้ตอนนี้มีแอปรองรับแค่ LINE กับ WeChat นะครับ พวก facebook ยังไม่รองรับ รวมถึงการแบ่งครึ่งหน้าจอใช้งาน 2 แอปก็ทำได้นะครับ แต่ไม่ได้ใช้งานกับแอปทั่วไปได้เหมือนที่ Pure Android ทำได้ แอปที่รองรับก็มีอย่าง facebook, line, youtube, Google Play Movies แต่ไม่รองรับการแบ่งครึ่งจอใน Chrome นะ

มีโหมดเกมสำหรับช่วยผู้เล่นเกมให้โดนขัดจังหวะน้อยลง โดยเกมที่เปิดใช้โหมดเกมจะมีความสามารถคือ รับสายเรียกเข้าอัตโนมัติแล้วเปิดลำโพงให้คุย ไม่ต้องละมือไปกดรับหรือตัดสาย หรือจะเลือกตัดสายไปทั้งหมดก็ได้ พร้อมบล็อก Notification ต่างๆ ไม่ให้แสดงระหว่างเล่นเกม ฟีเจอร์แบบนี้เกมเมอร์น่าจะชอบนะ

การถ่ายรูปด้วย Vivo V7+

กล้องหน้าที่ดีงาม

กล้องหน้าของ Vivo V7+ ถือว่าทำได้เยี่ยมตามความคาดหวังที่เราตั้งไว้กับมือถือของ Vivo นะครับ ให้สีผิวสวย มีโหมดหน้าสวยที่ปรับระดับความนวลปรับโทนสีผิวพร้อมปรับความขาวได้ และโหมดหน้าปกติที่คมชัด และแน่นอนตามสมัยนิยมกับโหมดหน้าชัดหลังเบลอที่ทำได้ดีในระดับหนึ่งมาให้ด้วย เอาเป็นว่าใครเน้นกล้องหน้า Vivo V7+ ไม่น่าจะทำให้ผิดหวังครับ

ปิดโหมดหน้าชัดหลังเบลอ

เปิดโหมดหน้าชัดหลังเบลอ

แต่ที่แอบผิดหวังหน่อยๆ คือกล้องหลังครับ ในพื้นที่แสงเยอะก็ให้ภาพได้ดีอยู่ ถ่าย panorama แนวยาวก็สวย แต่ถ้าแสงน้อยลงมาหน่อยเช่นถ่ายในที่ร่ม หรือถ่ายกลางคืนจะเห็นว่าสีสันดรอปลงไปอย่างเห็นได้ชัด รายละเอียดหายไป White Balance ก็ไปในโทนเย็นมากกว่า และมีโอกาสที่ภาพจะเบลอได้ง่ายจากความเร็วชัตเตอร์ที่ลดลงด้วย

ภาพจากกล้องหลังในที่แสงเยอะ ออกมาดูดี

แต่พอแสงน้อยหน่อยเท่านั้นแหละ สีดรอป ถ่ายเบลอง่าย

ภาพถ่าย Panorama

กล้องของ Vivo V7+ สามารถถ่ายแบบ Live View ได้ด้วย คือถ่ายภาพแล้วจะมีวิดีโอสั้นๆ ติดมา แต่คุณภาพวิดีโอของ Live View นั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ เลยไม่แนะนำ

ส่วนการถ่ายวิดีโอได้สูงสุดกล้องหลังที่ความละเอียด 1080p ก็ให้วิดีโอที่ดีระดับหนึ่ง เอาไปใช้งานทั่วๆ ไปได้ แต่ด้วยความที่กล้องไม่มีระบบป้องกันการสั่นไหวก็ทำให้การถ่ายวิดีโอต้องตั้งใจถือให้นิ่งหน่อย แล้วก็รายละเอียดของภาพยังไม่ดีเท่าไหร่ครับ ก็ตามราคาสำหรับมือถือระดับนี้

สรุป Vivo V7+ คุ้มราคาหรือไม่

Vivo V7+ เป็นสมาร์ทโฟนแบบ Fullview ตัวแรกๆ ที่เปิดตัวสู่ผู้ใช้ในระดับราคาหมื่นต้นนะครับ ซึ่งหลังจาก V7+ เปิดตัวไปไม่นานก็มีคู่แข่งหลายแบรนด์เปิดตัวมือถือในราคาใกล้เคียงกันและมีจอ Fullview 18:9 เหมือนกันออกมา ทำให้ราคา 11,900 บาทของ V7+ กลายเป็นราคาที่สูงที่สุดในกลุ่มไปซะงั้น

แต่ราคานี้เราได้เครื่องที่มีรูปลักษณ์ดีไซน์ที่ดี กล้องหน้าดี และประสิทธิภาพเครื่องดีที่สุดในกลุ่มราคานี้นะครับ ก็ประทับใจไม่น้อยหลังจากใช้มาเป็นเดือนแต่เครื่องก็ยังลื่นไหลอยู่ แถมแบตอึดมากระดับใช้ 2 วัน ถ้าใครเน้นเรื่องพวกนี้ Vivo V7+ ถือเป็นมือถือที่คุ้มราคาครับ

แต่จุดที่จะแพ้คู่แข่งที่ออกมาน่าจะเป็นเรื่องจอเป็นหลักเลย เอาจริงๆ ใช้ทั่วไปก็ไม่ได้สังเกตนะครับว่าจอมันไม่ละเอียด (อย่าง iPhone 6,7,8 ก็ไม่ใช่จอ Full HD นะ) แต่ใครที่แคร์ความเนียนของภาพในหน้าจอหน่อย ก็คงอยากพิจารณาตัวเลือกอื่นที่ได้จอ Full HD แทน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook