รีวิว Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ฉบับเต็ม ครบทุกฟีเจอร์

รีวิว Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ฉบับเต็ม ครบทุกฟีเจอร์

รีวิว Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ฉบับเต็ม ครบทุกฟีเจอร์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รอบนี้รีวิวจริง กับมือถือพับได้ตัวที่ 3 ของ Samsung ในชื่อ Galaxy Z Fold 2 5G และเป็นรุ่นที่ 2 ของ Galaxy Fold Series ที่ออกแบบมาเพื่อคนสาย Multitasking หรือชื่นชอบการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แถมมีโหมดที่ออกแบบมาเพื่อมือถือจอพับได้อย่าง Flex Mode อีก เอางี้ไม่พูดเกริ่นเยอะ เจ็บคอ ขอเข้าเรื่องเลยดีกว่า

ดีไซน์

เริ่มจากรูปลักษณ์ภายนอกก่อนเลย สีที่จำหน่ายคือ Mystic Black และสีเราได้มารีวิวนี้เป็นสี Mystic Bronze ซึ่งดูหรูหรา มีสไตล์ ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมเกรดดีรอบเครื่อง สกรีน Samsung ตรงขอบบานพับดูหรูหราดี โดยที่เราเลือกเปลี่ยนสีตรงบานพับนี้ได้อีก 4 สีด้วยนะถ้าซื้อกับเว็บไซต์ Samsung โดยตรง แถมไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม โดยใช้เวลาสำหรับ customize ประมาณ 30 วัน อันนี้ชอบ!

Samsung Galaxy Z Fold 2 5G มาพร้อมช่องใส่ซิม 1 ช่อง โดยอยู่มุมซ้ายล่างเมื่อกางเครื่องออก แน่นอนว่ารุ่นนี้รองรับ 5G ของไทยได้ทุกผู้ให้บริการครับ ส่วนทางขวาเป็นปุ่มปรับ Volume และปุ่ม power ที่รองรับการสแกนลายนิ้วมือได้พร้อมกัน และด้านท้ายเครื่องก็จะมีพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จไฟและต่อจอแยกได้ครับ โดยที่พอร์ต 3.5 mm ก็ได้ลาจากไปแล้วเรียบร้อย

ดูรูปลักษณ์รอบเครื่องกันไปหมดแล้ว เรามาชั่งน้ำหนักกันต่อเลยดีกว่า ซึ่งน้ำหนักที่ได้ก็คือ 285 กรัม ถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับขนาดจอที่เราใช้งานได้แบบจัดเต็มถึง 2 จอด้วยกัน หลายคนเห็นครั้งแรกก็น่าจะคิดใช่ไหมล่ะครับว่า หน้าจอด้านนอกกับ ด้านในเนี่ย มันน่าจะทำงานร่วมกันได้ ผมก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าใช่ครับ

หน้าจอ

มาดูกันที่จอด้านหน้า นี่คือ 1 ในเหตุผลที่คนใช้ Galaxy Fold รุ่นแรกต้องซื้อใหม่ครับ เพราะเขาได้พัฒนาจากรุ่นที่แล้ว จากเดิมที่มีขนาดเพียง 4.6 นิ้ว หรือครึ่งหน้าจอ กลายมาเป็นหน้าจอขนาด 6.2 นิ้ว เป็นจอแบบ Super AMOLED ความละเอียด 816 x 2260 สัดส่วนแปลกตา 25:9 ครับ

ส่วนหน้าจอด้านในที่เรากางออกมานี้มีขนาดเพิ่มจากรุ่นที่แล้ว 7.3 นิ้ว กลายมาเป็น 7.6 นิ้ว โดยที่ขนาดตัวเครื่องไม่ได้เพิ่ม แต่เป็นการเพิ่มขนาดจอขึ้นมาแทน เป็นจอแบบ Ultra Thin Glass ซึ่งใช้เทคโนโลยีพิเศษทำให้สามารถพับได้แบบไร้รอยต่อ แก้แถบดำของรุ่นก่อนออกไป เหลือแค่รูกล้องแบบ Punch-hole เล็ก ๆ ตรงนี้ครับ

โดยหน้าจอหลักนี้มาพร้อมความละเอียด 1768 x 2208 pixels รองรับ HDR10+ พร้อมอัตราการแสดงผลภาพ 120 Hz แบบ Adaptive Display ที่ปรับความถี่ตามการใช้งาน อย่างเช่นเวลาเราดูรูป อ่านหนังสือแบบค้างหน้าจอไว้นาน ๆ หน้าจอก็จะใช้ความถี่เพียง 1 – 10 Hz เพื่อประหยัดพลังงาน ส่วนการรับชมคลิป หน้าจอก็จะเร่งขึ้นมาที่ 60 Hz หรือตาม source ของภาพ แต่ถ้าเรามีการเลื่อนจอไว ๆ เช่นการไถหน้าจอ Facebook อ่านเว็บไซต์ ระบบก็จะทำการเพิ่มความถี่ไปให้ถึง 120 Hz สูงสุดให้คุณใช้งานแบบนุ่มตาครับ

โดยรุ่นนี้ออกแบบมาให้รองรับ WiFi 6 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อล่าสุด ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับเน็ตบ้านได้แบบจัดเต็มสำหรับคนที่มี WiFi Router รุ่นใหม่ ๆ ที่ปล่อยสัญญาณ WiFi 6 ได้

การทำงานของ 2 หน้าจอ

เขาออกแบบการทำงานของ 2 หน้าจอนี้ให้สามารถทำงานร่วมกันได้แบบ Seemless เลย ผมจะยกตัวอย่างการใช้งานง่าย ๆ ก็เริ่มจาก YouTube นี่แหละครับ เวลาเราค้นหาคลิป เราก็ไม่ต้องกางจอออกมา ใช้จอหน้าแบบนี้ค้นหาสะดวกกว่าเพราะจอค่อนข้างยาว เห็นคลิปได้เยอะดี พอเราเลือกคลิปที่อยากดูปุ๊ป แน่นอนว่าต้องเป็นคลิป beartai เราก็เปิดคลิปขึ้นมา จอมันก็จะเล็กใช่ไหมครับ เราก็แค่ทำการ กางจอด้านในออกมา แค่นี้เราก็ได้ดูแบบเต็ม ๆ ตาแล้วล่ะครับ

ไม่ใช่แค่แอป YouTube นะครับ เรายังสามารถใช้วิธีนี้ได้กับแทบทุกแอปฯ ที่เราโหลดมาใช้งานได้เช่นเดียวกัน

Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ถูกออกแบบมาตอบโจทย์คนทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกันแบบ Multitasking จริง ๆ นะครับ

เริ่มต้นจากที่ผมนั่งอ่านเว็บ beartai ผ่าน chrome แต่ผมก็อยากเปิด YouTube ไปด้วย ผมก็แค่ปาดแถบขาว ๆ ทางขวาออกมา ซึ่งแถบนี้เรียกว่า Multi-Windows Tray ที่จะแสดงแอปที่เราตั้งค่า Favorite เอาไว้ จากนั้นผมก็กดไปที่ YouTube แล้วก็ลากออกมา ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นหน้าจอแบบ Pop-up แยกต่างหาก หรือจัดเป็นหน้าจอแบ่ง 2 จอก็ทำได้ หลังจากนั้นซักพัก ผมอยากส่งข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อผู้คน ก็อยากส่ง reference ให้ ก็เปิดจอที่ 3 ออกมาได้ เราก็จะสามารถถ่ายภาพได้โดยที่แอปฯ ต่าง ๆ ที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้ก็ยังคงทำงานอยู่ ไม่ได้ปิดลงไป แล้วก็ไม่ใช่แค่นี้ครับ ผมยังสามารถดึงเอาแอปอื่น ๆ ออกมาแสดงผลได้อีกในรูปแบบ Pop-up ที่เราสามารถขยับไปวางตรงไหนก็ได้บนหน้าจอตามที่เราต้องการ

และนอกจากนี้เขายังมีความสามารถอย่าง Easy Drag and drop ได้อีกด้วย ผมจะทดสอบโดยการเปิดแอป Gallery และ Line ขึ้นมาพร้อมกันนะครับ จากนั้นให้เราทำการจิ้มไปที่รูปที่เราอยากส่ง เราจะส่งแบบภาพเดียวหรือแบบหลายภาพก็ทำได้โดยการเลือกหลาย ๆ รูปแบบนี้ เสร็จแล้วก็ Drag หรือลากออกมา แล้วโยนลงไปที่ Line แค่นี้ จบเลย แต่ปัจจุบันทางกองบรรณาธิการได้ทดลองกับแอป Messenger หรือ Facebook แล้วพบว่ายังใช้วิธีนี้ไม่ได้ครับ ว่าแต่… นี่มัน PC ชัด ๆ แทบไม่ต้องง้อ Samsung Dex แล้ว

แถมให้อีกนิดสำหรับคนที่ชอบใช้มือถือเป็น Hotspot ประจำตัว Samsung Galaxy Z Fold 5G รุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อ WiFi พร้อมกับเปิด Hotspot เพื่อแชร์อินเทอร์เน็ตให้คนอื่นได้แบบป๋า ๆ โดยเลือกสัญญาณ WiFi ได้ทั้ง 2.4G และ 5G เลยล่ะครับ

อีก 1 ฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือจอพับได้อย่าง Flex Mode นี่ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจสำหรับมือถือยุคใหม่ครับ โดยโหมดนี้จะทำการแบ่งเอาหน้าจอใหญ่ ให้กลายเป็นการทำงาน 2 จอแบบบนล่าง โดยการพับหน้าจอเข้ามาครึ่งหนึ่งโดยไม่จำกัดองศาแบบนี้

ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายแอปที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ Flex Mode นี้ และถ้าให้ยกตัวอย่างก็ต้อง YouTube นี่แหละครับ แอปสามัญประจำเครื่อง เวลาเราเปิดคลิปบน Flex Mode หน้าจอครึ่งบนก็จะทำงานแสดงผลคลิปปกติใช่ไหมครับ แต่หน้าจอครึ่งล่าง เราสามารถปาดขึ้นเพื่ออ่าน Comment หรือหาคลิปถัดไปได้ทันทีโดยไม่ส่งผลกระทบกับการรับชมเลย

หรือจะเป็นแอป Camera แทนที่เราจะต้องจิ้มเพื่อดูรูปที่เราถ่าย พอเราใช้ Flex Mode แบบนี้ เราก็สามารถเลื่อนดูภาพจากจอล่างได้ ซึ่งเรียกว่า Capture View Mode นี้ก็สะดวกไปอีกแบบ

และความตั้งใจที่เขาทำ Flex Mode นี้คือ การทำออกมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้งาน Video Conference ครับ เพราะแทนที่เราจะต้องใช้ Notebook หรือมองหาขาตั้งมือถือเพื่อประชุม Video Conference เราก็แค่ตั้งจอแบบ Flex ไว้ แล้วก็กด Video Call เข้าไป แค่นี้เอง… นี่มัน Notebook ชัด ๆ

กล้อง

Samsung Galaxy Z Fold 2 5G รุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องทั้งหมด 5 ตัวด้วยกัน ผมขอเริ่มจากกล้องหลัง ซึ่งเป็นกล้องหลักก่อนเลยแล้วกันครับ กล้องหลังนี้เป็นแบบ 3 เลนส์ หน้าตาดีไซน์ละม้ายคล้าย Note 20 Ultra สุด ๆ โดยเริ่มจาก

  • กล้องบน เป็นเลนส์แบบ Ultrawide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 กว้าง 123 องศา
  • กล้องกลางเป็นกล้องหลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.8 มีระบบกันสั่น OIS
  • กล้องซูม Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.4 เป็นกล้องซูม 2x แบบ optical Zoom ครับ

ซึ่งทางกองบรรณาธิการ beartai ได้ชวนน้องนาวลิ้ม 1 ใน Talent ของเรามาทำการทดสอบที่หน้าลานน้ำพุสยามพารากอน โดยเริ่มตั้งแต่การถ่ายภาพโหมดปกติ ภาพที่ได้ออกมาก็ถือว่าดูดี ให้สีสันสวยงามจัดเต็ม ถัดมาเราลองถ่ายภาพในโหมด Single Take โหมดนี้ถือว่าเหมาะมากสำหรับคนชอบถ่ายหลาย ๆ อิริยาบถพร้อมกัน เพราะจะเป็นการถ่ายคลิปสั้น ๆ เมื่อถ่ายเสร็จกล้องจะใช้ระบบ AI ทำการเก็บเอาจังหวะภาพหรือคลิปออกมาทั้งหมด 7-8 แบบ แล้วให้เราเลือกออกไปใช้งานได้ตามความเหมาะสม สุดท้ายคือโหมด Live Focus โหมดเด่นของมือถือ Samsung Galaxy รุ่นใหม่ ๆ ที่จะเป็นการถ่ายภาพแบบหน้าชัด – หลังเบลอ สามารถเลือกโบเก้สวย ๆ ละลายหลังได้หลากหลายรูปแบบ ภาพที่ได้ออกมาก็ถือว่าเนียนตา ตามที่คุณเห็นนี่เลยล่ะครับ

นอกจากนี้ยังมีโหมด Pro ที่ให้เราสามารถตั้งค่าได้อย่างละเอียดสุด ๆ ตั้งแต่การตั้งค่าโทนสี ความชัดของภาพ ความอิ่มของสี ค่าไฮไลต์ แสงเงา ค่า White Balance ระบบ Manual Focus ที่มีแถบวัดระยะ Zebra Pattern แสดงให้เห็นว่าเราโฟกัสได้ถูกต้อง ปรับค่าชดเชยแสง ปรับรูรับแสง ค่า ISO เอาเป็นว่าตั้งมันได้ทุกอย่างแทบจะเหมือนกล้อง DSLR เลยล่ะครับ

อีกอย่างหนึ่งที่ Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ทำได้ นั่นคือการถ่ายภาพแบบ Rear Cam Selfie หรือการถ่ายรูปเซลฟี่ด้วยกล้องหลังนี่แหละครับ เพราะเราสามารถพลิกเอาจอนอกออกมาแล้วทำการแสดงผล แค่นี้ก็สามารถถ่าย Selfie พร้อมจัดองค์ประกอบได้ด้วยตัวเองแล้วล่ะครับ

ส่วนการถ่ายคลิปด้วยกล้องหลังก็สามารถทำได้ในระดับ 4K แบบ 60 fps ครับ ซึ่งภาพที่ได้ออกมาก็ถือว่าสั่นน้อยมากแม้จะเดินถือแบบไม่ใช้ Gimbal ส่วนเสียงจากไมค์ของ Samsung Galaxy Z Fold 2 5G จะเป็นยังไงบ้างนั้น ก็ตามที่คุณได้ยินนี้เลยครับ

ยังไม่พอ ทีมงานก็จัดเต็ม ทดสอบคลิปในรูปแบบ Live Focus ซึ่งจะเป็นการถ่ายแบบหน้าชัด หลังเบลอในรูปแบบคลิปวิดีโอออกมา ก็จะได้คลิปที่ดูโดดเด่น มีสไตล์แบบนี้เลย สุดท้ายคือโหมด auto framing อันนี้เหมาะกับคนที่เอาไปใช้ทำ Video Conference ครับ เพราะตัวกล้องจะมี AI ตรวจสอบบุคคลที่อยู่ในหน้ากล้องว่า ปัจจุบันมีใครอยู่บ้าง แล้ว ตัวกล้องก็จะทำการซูมเข้า ขยายออก จัดกึ่งกลางภาพให้แบบอัตโนมัติ เรียกได้ว่าสะดวกสุด ๆ ใช้ Work from Home ได้เลย!

นอกจากนี้ยังมีโหมด Super Slow-mo ที่ 480 fps และทำการ Enhance ขึ้นไปเป็น 960 fps ก็เรียกได้ว่าช้าาาา จนเหมือนภาพที่ได้หยุดนิ่งไปเลยล่ะครับ

กล้องหน้า

Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ตัวนี้มีกล้องหน้า 2 ตัวด้วยกัน คือกล้องด้านนอกที่อยู่บนจอหน้า และกล้องด้านในที่อยู่บนจอใหญ่ ซึ่งทั้งคู่มาพร้อมความละเอียด 10 ล้านพิกเซล f/2.2 โดยภาพที่ถ่ายออกมานั้นจัดว่าดูดีโดยเฉพาะการทำหน้าชัด หลังเบลอที่ตัดขอบค่อนข้างเนียนตาเลยครับ

ซึ่งกล้องนี้ก็รองรับการถ่ายคลิปแบบ 4K 60fps เช่นกันครับ โดยคลิปที่ได้ออกเป็นยังไง เอาเป็นว่าไปดูน้องนาวลิ้มกันได้เลย แถมอีกนิด Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ตัวนี้เราสามารถตั้งมือถือแบบ Flex Mode แล้วทำการถ่ายภาพแสงไฟรถให้เป็นเส้นได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งเลยครับ

สเปค

Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ตัวนี้ยอมแล้วครับ ยอมที่จะนำเอา CPU เบอร์แรงสุดประจำปี 2020 อย่าง Qualcomm Snapdragon 865 Plus เข้ามาใส่ไว้ในเครื่องให้คนใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมาพร้อมกับ Ram ขนาด 12 GB แบบ LPDDR5 ที่แรงสุดบนมือถือ ณ ปัจจุบัน และ Rom ขนาด 256 GB ครับ โดยรุ่นนี้ไม่สามารถใส่ microSD เพิ่มได้ แต่ก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานแล้วล่ะครับ

โดยขนาดแบตเตอรีของ Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ตัวนี้อยู่ที่ 4500 mAh เรียกได้ว่ารองรับการใช้งานได้ตลอดทั้งวัน พร้อมรองรับการชาร์จแบบไร้สายแบบ Fast Charge ได้ที่ 11 Watt รวมไปถึง Fast Charge เมื่อเสียบสายได้อยู่ที่ 25 Watt ครับ แถมรุ่นนี้ยังสามารถชาร์จให้มือถือเครื่องอื่นแบบไร้สายได้ ผันตัวกลายเป็น Wireless Powerbank ที่แพงที่สุดในโลก ณ เวลานี้ก็ได้อยู่นะ

ทดสอบประสิทธิภาพ

เริ่มจากโปรแกรม GeekBench 5 ทดสอบประสิทธิภาพ CPU ก็ได้คะแนนสำหรับ Single Core ที่ 957 คะแนน ส่วน Multi-Core ได้คะแนนอยู่ที่ 3,126 คะแนน โดยรวมถือว่าสูงทีเดียวครับ ส่วนการทดสอบโปรแกรม PCMark for Android สำหรับทดสอบการใช้งานโดยรวมก็ได้คะแนนออกมาที่ 12,588 คะแนนครับ

นอกจากนี้ทางกองบรรณาธิการเทคนิกได้เอามาทดสอบการเล่นเกมแบบเต็มตาเต็มจอด้วยเกม Fortnite และเกม Free Fire ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะได้ภาพที่เต็มตา กว้างกว่ามือถือทั่วไป แถมภาพลื่นไหลมีไม่กระตุก แม้จะปรับสุดทุกอย่าง

สรุป

Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ตัวนี้ออกแบบมาให้คนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ เจาะกลุ่ม Life Maximizer ผู้ที่ต้องการทำทุกอย่างแบบเต็มที่ ได้ประสิทธิภาพสูงสุด และกลุ่ม Multitasker ที่ชอบอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน ตัวนี้ตอบโจทย์คุณแน่นอน

จุดสังเกต

จุดสังเกตที่ผมพบตอนนี้มี 2 จุดด้วยกันครับ จุดแรกคือกล้องหลังที่สเปคไม่ได้จัดเต็มเท่ากับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ที่ผมได้รีวิวไปก่อนหน้านี้ แต่ก็ถือว่าถ่ายภาพและคลิปออกมาได้ดีในระดับนึงเลยล่ะครับ และอีกจุดคือ เคสที่เราใส่นั้นไม่สามารถปกป้องได้แบบมือถือทั่วไปในกรณีที่เรากางใช้งานครับ เพราะมีหน้าจอทั้งด้านในและด้านนอก แต่เคสนั้นใส่ได้แค่ตรงฝั่งที่มีกล้องหลังเท่านั้น ทำให้เวลาเราใช้งานตอนกางเครื่องอยู่ก็ต้องระวังกันซักนิดครับ

รีวิวที่ดีต้องมี “ราคา”

Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ตัวนี้มาพร้อมราคาอยู่ที่ 69,900 บาท โดยราคานี้ถ้าคุณ Pre-Order ถึงวันที่ 13 กันยายนนี้ เขาจะมีของแถมให้คุณเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Samsung Galaxy Buds Live มูลค่า 6,990 บาท Galaxy Butler Gold 1 ปี มอบบริการหลังการขายระดับ VIP และ Samsung Care+ ประกันอุบัติเหตุตัวเครื่อง เปลี่ยนหน้าจอฟรี 1 ครั้งภายใน 1 ปีแถมบริการส่งช่างเทคนิกให้ถึงที่

สำหรับใครที่สนใจ ปัจจุบัน Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ก็เปิดให้คุณจับจองเป็นเจ้าของแล้วผ่านเว็บไซต์ www.samsung.com โอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 ค่าย ร้านค้าออนไลน์ และร้านมือถือชั้นนำทั่วประเทศ และวางจำหน่ายพร้อมกันในวันที่ 18 กันยายนนี้ เพราะ beartai คือสื่อเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ!

 

อัลบั้มภาพ 1 ภาพ

อัลบั้มภาพ 1 ภาพ ของ รีวิว Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ฉบับเต็ม ครบทุกฟีเจอร์

รีวิว Samsung Galaxy Z Fold 2 5G ฉบับเต็ม ครบทุกฟีเจอร์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook