รีวิว Nuvi 1460 แล้วไปทดสอบเส้นทาง กทม-หัวหิน

รีวิว Nuvi 1460 แล้วไปทดสอบเส้นทาง กทม-หัวหิน

รีวิว Nuvi 1460 แล้วไปทดสอบเส้นทาง กทม-หัวหิน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook



วันนี้มาชวนไปเที่ยวหัวหินกันครับ พร้อมกับรีวิวเครื่อง Garmin Nuvi 1406 ไปพร้อมๆกันเลย สำหรับเครื่อง Garmin Nuvi 1406 เป็นเครื่องรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานนี้ ด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างจากเครื่องรุ่นก่อนหน้านี้ เช่น

- แผนที่ใหม่เวอร์ชั่นล่าสุด TSM V.10 โดย ESRI Thailand
- มีความสามารถแสดงข้อมูล Junction View แยกสำคัญในพื้นที่กรุงเทพฯ เพิ่มได้มากถึง 1,158 Junction View
- ปรับปรุงอัพเดทข้อมูล และ POI โดยเฉพาะพื้นที่ 12 จังหวัดสำคัญ ๆ
- เชื่อมต่อกับ Bluetooth เพื่อใช้งานเป็น Handsfree speakerphone ได้
- หน้าจอใหญ่กว่าเดิมขยายเป็นขนาด 4.3" ความละเอียด 480 x 272 pixels WQVGA
- มี Ecoroute สามารถตรวจสอบดูอัตราการสิ้นเปลืองการขับขี่ได้

สำหรับเครื่องรุ่นนี้ผมเองได้มาไม่นาน และพอดีมีธุระต้องเดินทางไป ต่างจังหวัดพอดีก็เลยมีโอกาสทดสอบกันแบบเต็มๆครับ เครื่องรุ่นนี้หน้าตาการออกแบบจะคล้ายกับพวดเครื่อง Nuvi รุ่นอื่นๆอยุ่พอสมควร สิ่งที่แตกตต่างโดยหลักๆก็คือเรื่องของขนาดเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่ มีหน้าจอที่ดูได้สบายตามากขึ้น เป็นเครื่อง Nuvi ที่มีหน้าจอที่ใหญ่ที่สุดในเวลานี้ สำหรับขนาดหน้าจอผมว่ามันถึงจุดที่สมดุลดย์แล้วครับ เพราหากหน้าจอขยายใหญ่ไปมากกว่านี้ นอกจากเรื่องของราคาต้นทุนที่จะสูงขึ้นแล้ว ก็คงจะทำให้ใช้งานแล้วรู้สึกเกะกะเพราะขนาดเครื่องมันใหญ่จนเกินไป



ตัวเครื่องเป็นพลาสติกสีดำ ทรงแนวเรียบๆ มีอุปกรณ์มาตราฐานในกล่องให้มาคล้ายๆกับรุ่นก่อน ก็คือ ที่จับติดกระจก ,สายชาร์จไฟในรถยนต์และคู่มือการใช้งาน



พลิกด้านหลังมาตัวเครื่องรุ่นนี้จะเป็นลักษณะวัสดุออกยางๆ จับได้กระชับมือดีมากครับ ลำโพงจะอยู่ด้านหลังให้คุณภาพเสียงที่ชัดเจนดีมาก มีช่องเสียบชาร์จไฟผ่านทาง mini USB แบบเดิมๆ



สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นนี้ก็คือ Bluetooth Hand free ซึ่งก็มีประโยชน์ดีครับสำหรับใครที่ต้องเดินทางขับรถบ่อยๆ เวลาโทรศัพทืเข้ามาก็สะดวกในการรับสายมากขึ้น แต่อาจจะหมดความส่วนตัวไปหากเวลาเดินทางหลายๆคน คุณภาพของตัว Hand free จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลางครับ



ปุ่มเปิดปิดการทำงานเครื่องเปลี่ยนจากรุ่นเก่าแบบปุ่มเลื่อนสไลด์มาเป็นปุ่มเปิดปิดธรรมดา การใช้งานก็ยังคงเหมือนๆกันครับ



ผมลองนำเครื่อง Nuvi 205w ตัวเก่าของผมมาเทียบกับ Garmin Nuvi 1406  ขนาดความใหญ่ของหน้าจอแตกต่างโดยชัดเจน ซึ่งหน้าจอใหญ่แบบนี้จะมีผลต่อการแสดงผลในโหมด Junction View ซึ่งเป็นโหมดการแสดงภาพสี่แยกและจุดตัดต่างๆโดยแบ่งหน้าจอการแสดงผลออกมาเป็นสองส่วน เป็นลูกเล่นที่น่าสนใจมากครับสำรหับเครื่องรุ่นนี้ ไว้เดี๋ยวค่อยดูการใช้งานในส่วนถัดไปก็แล้วกันครับ



ขนาดเครื่องมีความแตกต่างกันพอสมควร แม้จะเป็นเครื่องในแบบหน้าจอ Wide ทั้งคู่ก็ตาม




เครื่องมืออื่นๆที่มีมาให้ในเครื่องรุ่นนี้ครับ



ฟังค์ชั่น Bluetooth จะอยู่ลึกหน่อยต้องไปที่ เครื่องมือ>>ตั้งค่า >> Bluetooth



สำหรับโปรแกรมแสดงภาพในเครื่องนั้น จอใหญ่ภาพดูจ่มชัดสบายตาดีครับ



เมนูการใช้งานต่างๆยังคงจะเหมือนกับเครื่อง Nuvi รุ่นทั่วๆไปแต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ Ecoroute เป็นการคำนวนการเดินทาง กับน้ำมันที่ใช้ว่ามีการใช้อัตราสิ้นเปลืองเท่าไร วสำหรับการใช้งานลูกเล่นตรงจุดนนี้อาจจะต้องอาศัยการศึกษาเบื่องต้นสักพัก แต่ไม่ถึงกับยาก โดยหลักๆการใช้งานเราต้องระบุว่า ชนิดน้ำมันที่ใช้คืออะไร และราคาน้ำมันในขระนั้นลิตรละกี่บาท ซึ่งระบบจะทำการคำนวนจากการเดินทางนำมาเป็นข้อมูลการใช้งาน หากถามว่าตรงเป๊ะหรือไม่ ก็คงต้องบอกเลยครับว่า ใช้งานแบบคร่าวๆได้ แต่เอาแบบจริงจังยังไม่แม่นเป๊ะเท่าที่ควรครับ



เลือกชนิดน้ำมันครับ มีแม้กระทั่ง CNG และ LPG



หน้าจอการรายงานผล



โดยรวมๆแล้วหากใครเคยใช้งาน Nuvi รุ่นก่อนหน้านี้มา รับรองว่าแทบไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มใหม่เลยครับ และสำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส GPS มาก่อนหากได้ลองใช้เครื่องรุ่นนี้แล้วอาจจะบอกว่าใช้งานได้ง่ายดี เพราะการทำงานต่างๆ ในเครื่องรวมทั้งเมนูนั้นเข้าใจง่าย  ส่วนความแม่นยำก็ตามสไตล์ ESRI แผนที่ก็ใช้งานได้ดี มีจุด POI เยอะดีครับ สำหรับเรื่อง Junction View ในเครื่องรุ่นนี้เค้าบอกว่ามีอยู่พันกว่าจุด แต่เท่าที่ทดสอบมา ใน กทม ถือว่ามีเยอะดี แต่ออกต่างจังหวัดยังไม่ค่อยเยอะเท่าไร แต่ก็อย่าลืมครับว่า ที่บอกว่า พันกว่าจุด หากหนึ่งสีแยกมีอยู่ สิ่ทิศทางก็ต้องเอาไปหาร 4 อีกนะครับเพราฉะนั้นผมเชื่อว่าน่าจะเหลืออยู่ประมาณ 6-7 ร้อยจุดน่าจะได้ เพราะหนึ่งสี่แยกก็นับไป 4 ภาพแล้วครับ

หลังจากที่ได้ลองดูเรื่อง Hardware และเมนูต่างๆในตัวเครื่องเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางไป หัวหินกันได้เลยครับ ทริปนี้ผมออกจาก กทม ประมาณ 10.30 น  



นำเครื่องติดกับกระจกหน้าในรถยนต์ให้เรียบร้อย พร้อมกับต่อสายไฟชาร์จเข้ากัยที่จุดบุหรี่ในรถยนต์ สำรหับแท่นติดกระจกที่ให้มานั้น จะเป็นแบบเดียวกับรุ่นเก่าๆ ใช้งานได้แต่ไม่ดีมาก เวลาจอดรถในอากาศร้อนๆ เครื่องมักจะตกลงมาจากกระจกเพราะมาแท่นยางด้านหลังมันเจอความร้อนแล้วขยายตัว ทำให้หลุดออกได้ง่าย แต่หากเพิ่งซื้อเครื่องมาใหม่อาจจะไม่เห็นผลชัดเจนนักต้องใช้ไปสักพักครับ เอาหละครับผมเริ่มใช้งานครั้งแรกก็ต้องตรวจตราความเรียบร้อยก่อนเดินทางให้พร้อมก่อน หลังจากนั้นก็กำหนดจุดหมายที่จะไป




เลือไปที่เมนู ค้นหาตำแหน่งบนหน้าจอหลัก แล้วก็เลือกใส่ข้อมูลพิกัดที่จะไปลงไป หรือหากไม่ทราบก็ใช้การค้นหาจากเมนูการค้นหาในเครื่องไม่ว่าจะค้นหาจากที่อยู่หรือค้นหาจากจุดสนใจก็ได้ครับเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด และกำหนดว่าการค้นหานั้นเราจะค้นหา ใกล้ที่ไหน หากอยู่ต่างจังหวัดก็อาจจะค้นจากการกำหนดเมนูที่เขียนว่า ใกล้ ด้านล่างหน้าจอ แล้วกำหนดขอบเขตการค้นหา หากค้นหาใกล้บริเวณที่เราอยู่ก็ไม่ต้องไปตั้งอะไรมาก แต่หากเราอยู่ กทม แต่จะค้นหาสถานที่ในจังหวัด เพชรบุรี ก็ต้องไปกำหนดว่าใกล้อะไรก่อน ดดยระบุจังหวัดลงไป




เผอิญการค้นหาของผมผมทราบพิกัดที่จะไป ก็เลยใช้การกำหนดโดยใส่ค่าพิกัดลงในเมนู พิกัดในเครื่อง เพียงแต่กรอกตัวเลขลงไปเท่านั้น




คีย์บอร์ดในเครื่องขนาดแป้นใหญ่ดีครับ พิมพ์ง่ายดี




เมื่อทุกอย่างพร้อมเครื่องจะคำนวนการเดินทางและเส้นทางให้ครบ ตามเส้นสีชมพู เรามีหน้าที่ขับตามเส้นมันไปเรื่อยๆครับ




แต่นแต๊นออกเดินทางแล้วครับ




พอมาถึงถนนพระรามที่สอง ก็เจอ Junction View โผล่มาเลยครับ เป็นการบอกว่าให้ผมเบี่ยงออกทางขวา เข้าเส้นทางด่วนเลนส์กลาง ซึ่งภาพที่ปรากฎบนหน้าจอ จะคล้ายกับสถานที่จริงมากครับ ทำออกมาได้ดีมาก ผมหละชอบมากๆๆ




เผอิยน้ำมันผมใกล้หมด ไฟส้มบนหน้าปัดโชว์พอดีเลย ผมเลยให้เครื่องช่วยค้นหาปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดให้ก่อน โดยเราสามารถเลือกเป็นจุดแวะพักได้ โดยไม่ต้องล้างข้อมูลแล้วเริ่มใหม่ ผมเลือกที่ปั๊ม Jiffy บริเวณแถวๆมหาชัยเป็นทางเลือกที่หนึ่ง เพราะที่ปั๊มนี้ใหญ่ดี มีขนมกินแก้ง่วง




อะฮ้า เจอแล้วร้านกาแฟ ขอโปก่อนหนึ่งแก้วแก้ง่วงขณะเดินทาง เพราเดินทางมาคนเดียวด้วยทริปนี้ ไม่มีคนนั่งคุยเป็นเพื่อนเดี๋วจะหลับใน เลยขอโด๊ป เอสเพรสโซ่ เข้มๆไปสักสองชอต ตาจะได้สว่าง



เติมน้ำมันไปพันกว่าบาท ยังไม่เต็มถังเลย ยุคนี้น้ำมันแพงจริงจริ๊งงงง



เดินทางกันต่อครับ เริ่มใกล้เที่ยงแล้ว ผมใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบๆสองชั่วโมงก็เข้าเขตชะอำ ซึ่งก็ใกล้เที่ยงได้เวลาทานอาหารเที่ยงพอดี จำได้ว่าแถวๆชะอำมีร้านอาหารทะเล อร้อยขึ้นชื่อ ราคาไม่แพงอยู่หนึ่งร้าน ร้านนี้ผมมาทานบ่อยๆ ชื่อร้านว่า สังเวียน ซีฟู๊ด ร้านติดทะเล ดูบ้านๆหน่อย แต่รับรองว่าให้เยอะ และอร่อยถึงใจแน่นอนครับ



ขับมาถึงชะอำ ทางเข้า โรงแรม สปริงค์ฟิลล์ จะมีป้ายบอกว่า สังเวียนซีฟุ๊ดครับ รับรองว่าหาไม่ยากแต่หากต้องการไปร้านนี้ ผมตีลังกายันเลยว่า หาไม่ยากส์ อร่อยแน่ เ ร้านนี้เปิดตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น หากเสาร์อาทิตย์จะไปทานตอนเย็น ควรโทรจองครับเพราะที่แน่นมาก



ขับเข้าไปในซอยประมาณสัก 1.5 กิโลครับ



แล้วจะเจอโรงแรม สปริงค์ฟิลล์ อยู่ทางขวามือ






ขับจนสุดถนนจะเป็นทะเล ให้เลี้ยวทางขวามือ



ขับเลียบชายทะเลมาประมาณ 200 เมตร ทางขวามือจะเป็นโรงแรม สปริงค์ฟิลล์





ร้านนี้สังเกตง่ายรถจะเยอะมาก ร้านจะอยู่หัวมุมของถนน เป็นร้านแบบไม่ใช่ห้องแอร์นะครับ มีโต๊ะตั้งในร้านและนอกร้านบริเวณริมหาด



ผมเลยแวะซัดข้าวผัดปู จานเปล ใหญ่มากไปหนึ่งจาก ราคา 70 บาท ที่นี่เค้ามักทำจานใหญ่ๆ อาหารแนะนำหากมาทานอย่าลืมส้มตำกุ้งครับ อร่อยสุดๆ






หลังจากทานอาหารเสร็จก็เลยขับต่อมายังจุดหมายครับ




ถึงแล้วจุดหมายผมที่ต้องมาทำธุระ




บรรยากาศดีๆที่หาไม่ได้ใน กทม พอเห็นทะเลแล้วรู้สึกว่าสดชื่นขึ้นมาทันที







บรรยากาศทะเลเดือน พย เงียบสงบดีรับ ชายหาดที่ชะอำนี่ยังถือว่าไม่โดนรบกวนมาก น้ำยังใสเล่นได้ ไม่มีขยะให้รำคาญใจ 
 
ขอบคุณ บริษัท ESRI สำหรับเครื่องทดสอบในครั้งนี้ครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook