Full Review : Nikon D7000 - Performance Concentrated เหนือกว่าด้วยประสิทธิภาพ

Full Review : Nikon D7000 - Performance Concentrated เหนือกว่าด้วยประสิทธิภาพ

Full Review : Nikon D7000 - Performance Concentrated เหนือกว่าด้วยประสิทธิภาพ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Nikon D7000 : Full Review

ทักทายกันก่อนว่า สวัสดีครับ สำหรับแฟนๆ TechXcite มาเข้าเรื่องด้วยความรวดเร็วไม่ต้องเยิ่นเย้อ เราจะมาดูกันว่า Review ครั้งนี้กับกล้อง DSLR ที่ทำเอาคู่แข่งสะอึกกับสเป็คแรงๆ ที่เป็นข่าวเกรียวกราวช่วงเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ กับ Nikon D7000 ซึ่งถือเป็นกล้องระดับ Semi-Pro และอาจจะเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของ Nikon D90 ก็ว่าได้นั้น คุณภาพสมคำร่ำลือหรือไม่

การ Review ครั้งนี้จะนำเจ้า D7000 มาทดสอบถึงคุณภาพของไฟล์ภาพที่ได้ โดยไม่มีการปรับแต่งใดๆ จากกล้อง ยกเว้น การใช้ Photoshop ในการย่อและใส่ Unsharp Mask เพื่อคืนความคมชัดของภาพที่ถูกย่อเพียงเท่านั้น เพราะหากใส่รูปใหญ่ๆให้ดูทุกรูป เดี๋ยวจะโหลดหน้าเว็บกันไม่ขึ้น

สัมผัสแรกที่ได้จับ D7000 ตัวนี้ บอกได้เลยว่าการจับถือคล้ายกับ D90 รุ่นพี่ก่อนหน้านี้ ทั้งน้ำหนัก การควบคุม หากใครเคยลองเล่น D90 มาแล้ว รับรองว่าไม่ยากเท่าไรนักที่จะทำความคุ้นเคยกับเจ้า D7000

เริ่มแรกก็ขอเล่าสเป็คซะหน่อย เพราะว่าทำเอาสาวก Nikon ตื้นตัน กับ ความละเอียด 16.2 ล้านพิกเซล ที่เร่ง ISO ได้ถึง 25,600 ยังไม่พอเท่านี้ ความฮือฮามันอยู่ตรงที่ Depth Color 14 bit ให้รายละเอียดและสีสันถูกต้องสมจริงมากขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ ความเทพสุดๆบังเกิดเมื่อ D7000 ตัวนี้สามารถวัดแสงผ่านเลนส์รุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีขั้วสัมผัสไฟฟ้าได้ แถมยังไม่ทิ้งระบบมอเตอร์โฟกัสที่มีอยู่ในกล้องให้สามารถใช้กับเลนส์ที่ไม่ ใช่ตระกูล AF-S ได้อีก

ยังไม่สุดแค่นั้น รุ่นพี่เก๋าๆมีอะไร รุ่นน้องอย่าง D7000 เอามารวมไว้ในตัวหมดด้วยช่องมองภาพ 100% พร้อมฟังก์ชั่นแก้ไข Back/Front Focus สำหรับเลนส์ที่โฟกัสไม่เข้าเป้าอีกด้วย พร้อมจัดหนักกับวีดีโอแบบ Hi-Def 1080p ที่ 24 fps และที่น่าเล่นสุดๆคือระบบโฟกัส 39 จุด เยอะกว่า D90 ที่มีแค่ 11 จุด แถมรัวภาพที่ความเร็วสูงสุด 6 ภาพต่อวินาที แถมมีมาตรวัดระดับน้ำมาให้ดูเล่น แต่ใช้งานได้จริง แถมใช้ดีซะด้วย

กลับมาดูตัวบอดี้กันบ้างดีกว่า เดี๋ยวค่อยสรุปเรื่องสเป็ค การออกแบบถือได้ว่ายังคงความหล่อสไตล์ D90 แต่หูร้อยสายดูโปรขึ้น เพราะเปลี่ยนไปใช้แบบห่วงร้อยสายเหมือนพวกกล้องเทพรุ่นพี่

พลิกกล้องไปดูด้านขวาของตัวกล้องจะพบกับช่อง ใส่การ์ด ที่ใส่ได้ 2 ช่อง และสามารถกำหนดให้แต่ละการ์ดเก็บข้อมูลแยกกันได้ เช่น เก็บไฟล์ RAW ไว้ที่แผ่นแรก อีกแผ่นเก็บไฟล์ JPEG ซึ่งสะดวกต่อการทำงาน และง่ายต่อการจัดเก็บไฟล์ด้วย เข้าใจออกแบบจริง Nikon เนี่ย

ส่วนด้านซ้าย เป็น Port ต่างๆที่มีไว้สำหรับเชื่อมต่อกล้องเข้ากับคอมพิวเตอร์หรือจอมอนิเตอร์ ด้วยช่อง AV OUT ช่องต่อสาย USB และ HDMI รวมถึงช่องเสียบไมโครโฟนแยกสำหรับอัดวีดีโอและอุปกรณ์เสริมบอกตำแหน่งภาพ ถ่ายด้วย GPS เรียกได้ว่ามีอะไร พี่แกยัดใส่มาให้หมดหน้าตัก

ด้านบนตัวกล้องมีสวิตซ์เปิด-ปิด พร้อมปุ่มควบคุมระบบวัดแสง และปุ่มชดเชยแสง ส่วนด้านซ้ายเป็นแป้นวงแหวน 2 ชั้น สำหรับการปรับโหมดถ่ายภาพ และ การปรับระบบการถ่ายภาพต่อเนื่องรวมถึงการใช้รีโมท และล็อคกระจกเมื่อต้องการความนิ่งในการถ่ายภาพ พร้อมความเท่ห์ที่กล้องแบบมืออาชีพต้องมี นั่นคือ จอแอลซีดี ด้านบน ที่ช่วยให้การตั้งค่าต่างๆง่ายขึ้นเยอะ แถมประหยัดไฟ ไม่ต้องไปเปิดๆปิดๆ จอด้านหลังเหมือนกล้องรุ่นเล็กๆ

มาดูใกล้ๆกันกับวงแหวน 2 ชั้น ที่ออกแบบมาให้ไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายในเมนูของกล้อง เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน แม้จะปรับยากไปหน่อยในตอนแรกๆ ส่วนโหมดถ่ายภาพ ก็ถูกตัดทอนโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติต่างๆออกไปให้ไปปรับค่าในกล้องแทนในโหมด SCENE และดูเป็นมืออาชีพขึ้นมาเยอะเพราะหารูปดอกไม้กับคนวิ่งไม่เจออีกต่อไป สุดท้ายปรับไปใช้รูปกล้องตัวเขียวๆที่เขียนว่า AUTO ก็ทำมาหากินได้เหมือนกัน

หมุนมาถึงด้านหลังจะเห็นปุ่มควบคุมกล้องต่างๆ มากมาย ที่ออกแบบมาดูง่าย พร้อมวงแหวนควบคุมกล้องบริเวณนิ้วโป้งด้านขวา ซึ่งใช้งานได้สะดวกรวดเร็วพอๆกับวงแหวนด้านหน้าที่มีมาให้ด้วยเช่นกัน ปรับรูรับแสง เปลี่ยนค่าสปีดชัตเตอร์ได้เลยไม่จำเป็นต้องละสายตาจากพริตตี้ในช่องมองภาพ แจ่มจริงๆ

ด้านล่างเป็นที่ใส่แบตเตอรี่ และมีช่องเชื่อมต่อที่ทำงานร่วมกับกริป และแน่นอนว่า มีรูยึดสำหรับใช้กับขาตั้งกล้อง และแน่นอนอีกแล้วว่าถ้าจะเช็ค Serial Number ก็ต้องพลิกมาดูตรงนี้ Made in Thailland แน่นอน ไม่ต้องสืบ อุดหนุนแรงงานไทย มันสมองญี่ปุ่น โรงงานอยู่อยุธยานี่เอง

การเข้าถึงเมนูต่างๆของกล้องยังคงเหมือนเดิม สำหรับผู้ที่ใช้งานกล้อง Nikon มาก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าหลับตาจิ้มยังถูก ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก สำหรับมือใหม่ ศึกษาไม่นานก็ใช้งานเป็นเพราะออกแบบมาได้เป็นมิตรต่อผู้ใช้ แต่ข้อเสียคือปุ่มที่วางกันเยอะแยะ อาจจะต้องทำความคุ้นเคยกันบ้างไม่งั้นจะหาปุ่มไม่เจอ ที่สำคัญ รุ่นนี้พัฒนาแล้ว มีเมนูภาษาไทยมาให้ด้วย

ระบบ Live View ทำงานตอบสนองได้ดี แค่โยกก้านที่มีจุดสีแดงไปหนึ่งครั้งก็เข้าสู่โหมด Live View หากจะถ่ายวีดีโอก็แค่กดปุ่มสีแดงแค่นั้นเอง ไม่ต้องไปยุ่งกับปุ่มชัตเตอร์หรือปุ่มใดๆอีก แถมเจ้า D7000 ยังฉลาดพอที่จะจับโฟกัสใบหน้าได้อัตโนมัติเองด้วย แอบถ่ายพริตตี้แบบเห็นหน้าชัดๆก็ทำได้ง่ายๆแล้วครับ

มาเปรียบเทียบรุ่นพี่ รุ่นน้องกันหน่อย มาก่อนก็เรียกพี่ มาทีหลังก็เป็นน้อง แต่น้องดันเก่งกว่าพี่ เพราะถ้าทำออกมาห่วยกว่า ลูกค้าคงสรรเสริญเยินยอ แต่ D7000 มาแบบไม่มีกั๊กให้เจ็บใจ ดูหน้าตากันชัดๆเปรียบเทียบกันดีกว่า

ด้านหลังที่เห็น ตัวที่วางอยู่ซ้ายมือคือ D90 ส่วนอีกตัวทางขวาคือ D7000 มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยสำหรับการวางปุ่มต่างๆ แต่โดยรวมแล้วไม่แตกต่างกันมาก พี่น้องคลานตามกันมา ยังไงก็หน้าตาคล้ายกันอยู่ดี

มองจากด้านบนกันบ้าง เปรียบเทียบให้เห็นหน้าตา D90 และ D7000 แบบ Bird eye view ตัวไหนหล่อกว่ากันเชิญให้คะแนน แล้วเดี๋ยวคลิกไปดูหน้าต่อไปกันว่า ไฟล์ภาพจากการกล้องรุ่นนี้เป็นยังไงบ้าง พร้อมแล้ว....

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook