Mobile App vs Mobile Site vs Responsive Website ใครอยู่ใครไป อะไรเจ๋งกว่ากัน?!?

Mobile App vs Mobile Site vs Responsive Website ใครอยู่ใครไป อะไรเจ๋งกว่ากัน?!?

Mobile App vs Mobile Site vs Responsive Website ใครอยู่ใครไป อะไรเจ๋งกว่ากัน?!?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Mobile App vs Mobile Site vs Responsive Website ใครอยู่ใครไป อะไรเจ๋งกว่ากัน?!?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้มือถือ แท็บเล็ต ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะกินข้าว ดูทีวี หาแรงบันดาลใจ ขึ้นรถไฟฟ้า ช้อปปิ้ง เข้าร้านหนังสือ ฯลฯ เรียกได้ว่าเกือบทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต เรามีโลกออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย บนมือถือและแท็บเล็ตมาเป็นเพื่อนคู่ใจ เมื่อไลฟ์สไตล์ของคนเปลี่ยนไปแบบนี้

เทคโนโลยีก็ย่อมถูกปรับเปลี่ยน ปรับปรุง ให้สอดคล้องตอบสนองกับความต้องการ ดังนั้น Mobile App, Mobile Site และ Responsive Website จึงได้เกิดขึ้น เพื่อให้เว็บไซด์มีดีไซน์ที่สวยงามผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ และทำให้เว็บไซด์นั้นอ่านง่าย สวยงามผ่านอุปกรณ์พกพา (Mobile Devices) อื่นๆ ด้วยเช่นกัน แต่หากถามว่า Mobile App, Mobile Site และ Responsive Website สำคัญขนาดไหน ต่างกันยังไง แล้วอะไรดีกว่ากัน อันนี้ก็คงต้องลงรายละเอียดกันซักหน่อย

Mobile App vs Mobile Site vs Responsive Website

Mobile App
คือ Application บนอุปกรณ์พกพานั่นเอง และอย่างที่เรารู้ๆ เห็นๆ ใน App Store นั้นก็มีแอพหลายประเภท ทั้งแอพเกมส์ แอพถ่ายรูป และอีกสารพัดแอพ ซึ่งเราก็สามารถทำเว็บให้กลายเป็น Mobile App ได้ ตัวอย่างของ Mobile App ก็เช่น Facebook, Twitter, Skype, Youtube เป็นต้น

ข้อดีของการทำ Mobile App ก็คือ ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็ว สวยงาม เพราะในเชิงการเขียนโปรแกรมนั้น สามารถเขียนแบบ Native ได้ โหลดเร็วด้วย เพราะไม่ต้องมานั่งดาวน์โหลด CSS หรือ JavaScript แบบเว็บไซต์แล้ว
แต่การทำ Mobile App ในปัจจุบันมีข้อเสียก็คือ ค่าใช้จ่ายในการทำค่อนข้างสูง และจะต้องทำแอrพลิเคชั่นให้กับทุก Platform (iOS, Android, Windows Phone และอื่นๆ) ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเราสามารถแสดงผลคอนเทนต์ในเบราเซอร์บนทุกอุปกรณ์พกพาได้โดยไม่จำเป็นต้องทำแอปพลิเคชั่นเลย Mobile site และการทำเว็บแบบ Responsive จึงตอบโจทย์แทนการทำ Mobile App


Mobile Site

คือการแยกเว็บไซต์มาเป็นอันใหม่อีก 1 เวอร์ชั่น เป็นคนละเว็บกับตัวหลักที่มีอยู่ ซึ่งจะมีการออกแบบฟีเจอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือด้วย เช่น อาจมีการเปลี่ยนรูปแบบเมนู ปุ่มกดต่างๆ ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้อาจตัดหน้าเว็บบางหน้าที่ไม่จำเป็นออก เหลือไว้เฉพาะหน้าที่เป็นเนื้อหาหลักสำคัญๆ เท่านั้น

Mobile site จะเหมาะกับเว็บยุค desktop คือไม่ได้ออกแบบเว็บมาเพื่ออ่านง่ายในอุปกรณ์พกพามาตั้งแต่ต้น และเหมาะกับเว็บที่มีฟังก์ชันยุบยับ แต่ต้องการจะแสดงเนื้อหาบางส่วนในอุปกรณ์พกพาก็พอ

Mobile Site ข้อเสียก็คือ

จะต้องทำ CMS (Content Management System) ที่ทำมาเพื่อ update เนื้อหาใน Mobile Site ให้เท่ากับหน้าเว็บปัจจุบันที่มีอยู่ (นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องเสียเวลาในการจัดการ content เพิ่มขึ้นนั่นเอง)

Responsive Website

เป็นเทคนิคการเขียนเพื่อปรับรูปแบบการแสดงผลให้เหมาะกับอุปกรณ์พกพา เช่น มีการปรับเปลี่ยนขนาดตัวอักษร หรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดวางให้เหมาะกับการแสดงผลในแนวแคบ และรองรับการสัมผัสด้วยนิ้วมือได้ดีกว่า

ข้อดีของ Responsive Website คือ จะอัพเดทข้อมูลแค่ครั้งเดียว ก็จะแสดงผลได้หมดในทุกๆ Platform (เจ๋งอ่ะ) แต่เว็บแบบ Responsive นั้น "ไม่ได้เหมาะกับเว็บทุกประเภท" อย่างที่บอกไปแล้วว่า การทำเว็บแบบ Responsive นั้นเหมาะแก่การปรับแต่งรูปแบบการแสดงผล แต่ก็มีบางเว็บไซต์ที่นำข้อดีของการทำ Mobile Site และการทำเว็บแบบ Responsive มาอยู่ในเว็บเดียวกันได้ ซึ่งก็จะทำให้การใช้งานเว็บไซต์นั้น มีความสมบูรณ์ สะดวกรวดเร็ว และง่ายในทุกๆ Devices ตอบโจทย์ในด้านการใช้งานได้เป็นอย่างดี

ตัวอย่าง Mobile App ที่นำข้อดีของ Mobile Site และการทำเว็บ Responsive มาปรับไว้ด้วยกัน

ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ ง่ายๆ กับ Dealfish Mobile App



Dealfish.co.th (ดีลฟิช)
เว็บไซต์แหล่งรวมประกาศซื้อ-ขาย สินค้า และบริการ ออนไลน์ (ฟรี!) แห่งแรก แห่งเดียวในประเทศไทย คือหนึ่งในเว็บไซต์ที่ใช้ และพัฒนา Mobile App ซึ่งรวมข้อดีของ Mobile Site และ Responsive Website ไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการประกาศซื้อ-ขาย ได้ทุกที่ทุกเวลา

ตัวอย่างการแสดงผลหน้าเว็บบน Mobile Devices

Mobile App ของ Dealfish.co.th ได้รวมข้อดี ของ Mobile Site และ Responsive ไว้ด้วยกัน โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านทาง Devices ต่างๆ สามารถรับชมหน้าเว็บไซต์ได้อย่างสมบูรณ์ สวยงาม พร้อมกับอำนวยความสะดวก รวดเร็ว ในการ "ลงประกาศซื้อ-ขาย ฟรี!" ไม่มีค่าใช้จ่าย ให้ทุกการซื้อ-ขาย ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่หลักๆ ได้แก่
- รถมือสอง - อสังหาริมทรัพย์ - แฟชั่น - สินค้าไอที - ไลฟ์สไตล์ - ธุรกิจ - ท่องเที่ยว
- สุขภาพและความงาม - ตกแต่งบ้านและสวน - การศึกษา - แม่และเด็ก

นอกจากนี้ Dealfish.co.th ยังแบ่งหมวดหมู่ย่อยในแต่ละสินค้าและบริการมากกว่า 60 รายการเพื่อให้ผู้ใช้สะดวกในการค้นหาสินค้าหรือบริการที่สนใจ ได้อย่างเต็มที่

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีก้าวล้ำไปไม่มีหยุดนิ่ง สิ่งสำคัญที่เราควรทำคือก้าวไปให้ทัน และเรียนรู้ที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ แบบนี้สิถึงจะเป็นคนรุ่นใหม่ตัวจริง...

ซื้อง่าย ขายฟรี ได้ทุกที่ กับ Dealfish Mobile App
โหลดฟรี! ได้ที่นี่

Thank you credit : http://www.samyarn.com/2012/mobile-app-mobile-site-responsive-design/, http://www.blog.seo4site.com

 

Facebook :

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook