ครั้งแรกกับบทสัมภาษณ์ แอดมินเพจ “CSI LA“ นักสืบโลกออนไลน์

ครั้งแรกกับบทสัมภาษณ์ แอดมินเพจ “CSI LA“ นักสืบโลกออนไลน์

ครั้งแรกกับบทสัมภาษณ์ แอดมินเพจ “CSI LA“ นักสืบโลกออนไลน์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลายเป็นเพจที่กำลังมาแรงที่สุด ในตอนนี้สำหรับ  “CSI LA” หลังจากเกาะติดคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่าแบบกัดไม่ปล่อย เรียกได้ว่าแลกกันหมัดต่อหมัดกับตำรวจไทยกันเลยทีเดียว

ล่าสุดทีมงาน Sanook! Hitech ได้ติดต่อผู้ดูแลเพจ CSI LA มาสัมภาษณ์กันแบบ Exclusive ถึง “ความเป็นมาของ CSI LA” เพจที่กำลังร้อนแรงอยู่ขณะนี้ 


เชื่อว่าชาวไซเบอร์หลายๆ คนคงอยากรู้เรื่องราวความเป็นมาของเพจนี้ เพราะสไตล์การนำเสนอข้อมูลในเชิงลึก กล้าได้กล้าเสีย เกี่ยวกับคดีเกาะเต่า หรือการวิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่แบบกัดไม่ปล่อย ไม่กลัวคำขู่ของใครหน้าไหนทั้งนั้น กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนบนโลกออนไลน์ให้เข้าไปบริโภคข้อมูลใหม่ๆ จนตอนนี้จำนวนแฟนเพจพุ่งขึ้นไปหลักหลายแสน

เราจึงพยายามสืบเสาะหา เรื่องราวของ “CSI LA“ มาให้ได้อ่านกันว่าจริงๆ แล้วจุดกำเนิดของ “CSI LA“ มีความเป็นมาอย่างไร?

แนะนำตัวให้เพื่อนๆ รู้จักหน่อยได้ไหม

CSI LA: ผมเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ที่อเมริกาอยู่ที่นี่มา 20 ปีเเล้วครับ เเต่ชอบติดตามการเมืองไทยเเละต่างประเทศ ส่วนตัวผมเป็น Data Scientist ทำงานให้กับหน่วยงานหนึ่งของอเมริกา แต่เรื่องส่วนเรื่องผมคงให้ข้อมูลได้เท่านี้ เพื่อความปลอดภัยของผมเเอง

ทำเพจ "CSI LA" มานานหรือยัง

CSI LA: เราเริ่มทำตอนประมาณเดือน มีนาคมครับ หรือประมาณ 7 เดือนที่เเล้ว ซึ่งการที่ยอดของแฟนๆ ทะยานขึ้นสูงถึง 317,240 likes มันคือ the power of social network (network effect) ผมทำเพจ csi la เพื่อเป็นเพจเเลกเปลี่ยนความเห็น ตั้งใจให้ลักษณะคล้ายกับ Pantip เเต่ของเราหาความจริงได้เร็วกว่าผมต้องการสอนคนไทยให้คิดเองเป็น เบื่อกับการเสนอข้อมูลเเบบเก่าๆ ที่ไม่มีที่มา เเละเชิงมโน โดยข้อมูลที่นำเสนอ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปหมด มีการอ้างอิงแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ ถ้าเรากำลังหาคำตอบผมจะตั้งคำถามเเละให้ทุกคนช่วยกันคิด เราจะใช้เหตุผลมาหักล้าง  

อะไรคือเหตุผลที่ทำเพจนี้ขึ้นมา หรือเพราะทางทีมงานสะดุดใจกับอะไร หรือมีอะไรเป็นพิเศษ?

CSI LA:  ทำเพราะเบื่อข้อมูลบิดเบือนครับ ผมเห็นเพื่อนๆ เเชร์ข้อมูลบิดเบือน เลยรำคาญจึงทำเพจนี้ขึ้นมาเพื่อจับโกหก เเละทำให้พวกเขาเงิบ เพราะในเฟสบุ๊คชอบแชร์ข้อมูลเเบบไม่มีที่มาที่ไป เเละมีการปลุกปั่นตลอดเวลา

พอบอกได้ไหมมีทีมงานประมาณกี่คน?

CSI LA:  เรื่องวิเคราะห์มีผมคนเดียว ผมวิเคราะห์เเละทำ Graphics คนเดียว เเต่มีคนหาข้อมูลเยอะๆ มาก คนที่ส่งข้อมูลมาให้มีเยอะ ตอนนี้มีคนส่งข้อมูลให้ทุกนาที เป็นพันๆ ข้อความในเวลา 24 ชม. อย่างกรณีที่ทางทีมเราสามารถรู้ว่าล่ามเป็นคนขายโรตีที่เกาะสมุย และผมสามารถหาว่าเขาขายอยู่ที่ไหน ด้วยการถามเพื่อนๆ ในเพจ ภายใน 1 ชม. เราได้ภาพของคนขายโรตี ที่หน้าวัดพระใหญ่ สิ่งที่ผมทำเขาเรียกว่า Crowd Sourcing

เห็นเพจและทวิตเตอร์มีคนชอบและพูดถึงจำนวนมาก รู้สึกยังไง? 

CSI LA: ผมเก็บข้อมูล เเละ บทสนทนาเขาไว้หมด เเน่นอนครับ คือเพจเราขาประจำจะเป็นนักคิดอยู่เเล้ว บอกตามตรงผมรู้สึกเฉยๆ นะ ถึงจะมีเเฟนถึง 3 เเสนคนยังรู้สึกเหมือนวันเเรกๆ ที่มีเเฟนๆ เเค่ 5000 เเต่ดีใจมากๆ ที่ทุกคนที่เข้ามา มองข้ามเรื่องสีเเละเข้ามาสามัคคี ประทับใจมากๆ ที่เป็นทางเลือกใหม่ให้คนไทย ทุกๆคนออกมาร่วมเเรงร่วมใจกัน

ผมว่าเราทำ graphic ที่ทำให้คนเข้าใจง่ายด้วย คือเขียนเเบบไม่ยาวมาก เเต่ภาพที่ผมทำมา ทำให้คนเข้าใจง่ายๆ หลักการง่ายๆ Compare and contrast  เเละ Visualization ที่อมริกา เราถูกฝึกมาให้เขียนตรงประเด็นได้ใจความ ใช้รูปภาพอธิบาย

อยากฝากอะไรถึงแฟนๆ และคนที่ติดตามมั้ย?

CSI LA: สิ่งที่พวกเราทำนั้นเรียกว่า Crowd Sourcing คือการที่ใช้มวลชนเป็นพันๆ หมื่นๆ คนมาช่วยกันคิดช่วยกันทำงาน โดยเฉพาะสังคม online ที่ทำด้วยใจรักเเละบริสุทธิ์ ไม่ได้หวังสิ่งตอบเเทนใดๆ เเทนที่จะใช้ลูกจ้าง หรือ ข้าราชการเท่านั้นไปทำงาน นี่คือสิ่งที่พวกนัก Programmer เขาทำกันพวก Developer เขาทำกัน พวก Opens Souce Software Developer เขาก็ทำกันอย่างนี้เขาเรียกว่า "สามัคคี"

สุดท้ายแอดมินผู้ดูแลเพจ CSI LA ยังคงย้ำจุดยืนว่าพวกเขาไม่มีสีอะไรทั้งนั้น อยากให้คนไทยก้าวพ้นเรื่องสี เเละมีสีเดียวคือ "สามัคคี" เพราะประสบการณ์ที่เราเห็นๆ นั้นสามารถทำอะไรก็ได้ถ้าเราร่วมใจกัน

"ถ้าเราทำสิ่งนี้สำเร็จ เราจะเป็นประเทศเเรกในโลกที่มีคนเป็นเเสนๆ คนร่วมกันจับคนร้าย และอยากฝากให้คุณดูการวิเคราะห์ของผมเรื่องการจับผิดเรื่องรถผีด้วยครับ"

ในโลกออนไลน์มีทั้งจุดขนานและจุดเชื่อมต่อกับโลกของความเป็นจริง โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถแสดงตัวต่อโลกภายนอกได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะคนรวยคนจนคนธรรมดาก็สามารถสร้าง "ตัวตน" ให้เป็นที่รู้จักขึ้นมา

ซึ่งนี่คงเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เพจชาวบ้านธรรมดาจุดเริ่มต้นของสมาชิกแค่หลักพัน จะมีอิทธิพลมหาศาลจนกลายเป็นหลักแสน และบททดสอบต่อไปคือ ประธานชุมชนอย่าง CSI LA จะดูแลและใส่ใจลูกบ้านของตนเองได้ดีแค่ไหน?

ขอบคุณภาพและข้อมูล: แฟนเพจ CSI LA

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook