ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” และ “ไลล่า” ที่ไม่น่าเป็นห่วง

ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” และ “ไลล่า” ที่ไม่น่าเป็นห่วง

ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” และ “ไลล่า” ที่ไม่น่าเป็นห่วง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปรากฏการณ์ “เหนียวไก่หาย” และ “ไลล่า” ที่ไม่น่าเป็นห่วง

มีผู้เป็นห่วง "ไลล่า" สาวน้อยวัย 15 ปีแห่งจังหวัดสตูลผู้โด่งดังจากคลิป "เหนี่ยวไก่หาย" ซึ่งมียอดแชร์ทะลุแสนเพียงชั่วข้ามคืน ว่าเธอจะรับมือกับความดังไม่ไหว และบ้างก็บ่นว่าความตื่นเต้นเรื่องคลิปนี้ของคนไทยสะท้อนความห่วยของสังคมไทยและโดยเฉพาะสื่อไทย


เห็นด้วยเฉพาะเรื่องสื่อไทยในแง่ที่ว่าดูเหมือนไม่เคยทุ่มเทความสามารถทำข่าวเจาะลึกที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างนี้เลยแต่กับข่าวนี้นั้นหลายสำนักแทบจะระดมทุกสรรพกำลังไปตามล่าหาตัว "ไลล่า" แล้วแข่งกันเสนอข่าวราวกับไม่มีเรื่องอื่นใดในโลกสำคัญกว่าไลล่าและเหนียวไก่ของเธอ

ความจริงการเสนอข่าว "เหนียวไก่และไลล่า" ของสื่อนั้นไม่ผิด ยิ่งในแง่ "คุณค่าข่าว" ยิ่งไม่ผิด เนื่องจากข่าวนี้เป็น " a human interest story" หรือเป็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจของผู้คนร่วมสังคม การฟันธงว่าข่าวนี้ไม่มีคุณค่าเลยจึงอาจเข้าข่าย "เยอะไปหน่อย" ในด้านของความพยายามจะอยู่ในโลกแห่งความ "ดีงาม" เชื่อว่าทุกอย่างต้องจริงจัง หนักแน่น มีประโยชน์

"คุณค่า" ไม่จำเป็นต้องแปลว่า "เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อสังคม" เสมอไป ความสนใจใดๆของปัจเจกย่อมมี "คุณค่า" ต่อปัจเจกผู้นั้น และการยอมรับรวมถึงเคารพความสนใจอันแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ที่เป็นเพื่อนร่วมสังคมกับเราแม้เราจะไม่เห็นว่ามันน่าสนใจเลยถือเป็น"คุณค่า" อย่างหนึ่ง

ข้ออ่อนด้อนของสื่อไทยที่ควรต้องพิจารณาตนเอง จึงเป็นเรื่องความคิดและความสามารถในการนำเสนอข่าวสารต่างๆ มากกว่า

สิ่งที่สื่อไทยควรคิดและทบทวนก็คือ ทุกวันนี้ได้ทำงานในบทบาทสื่ออย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ได้ทุ่มเทความสามารถในการคิดค้นสืบหาความจริงต่างๆ ที่สังคมควรรับรู้มานำเสนอหรือยัง ตระหนักหรือไม่ว่ามีข่าวอะไรบ้างที่ควรต้องติดตามสืบค้นข้อมูลมาทำเป็นข่าว หรือทำเป็นแต่ข่าวประเภท "human interest" ซึ่งก็ไปได้ไม่ไกลว่าความสนใจระดับผิวเผิน วูบวาบ ไม่สามารถเข้าถึง "เบื้องหลัง" ปรากฏการณ์ตามที่เป็นจริง

น่าคิดเหมือนกันว่า ทั้งๆ ที่สื่อสำนักต่างๆ แข่งกันทำข่าวไลล่า เราๆท่านๆ ที่ติดตามข่าวก็ไม่ยักได้ข้อมูลที่พอจะบอกได้อย่างชัดเจนว่า ไลล่ามีชีวิตอย่างไร แบบไหน เพราะตามคลิปและตามคำให้สัมภาษณ์ซึ่งอ้างโดยหนังสือพิมพ์บางฉบับ เมื่อ "เหนียวไก่" หายไป เธอก็ไปขอเงินแม่มาซื้อใหม่ และเธอมีเงินอยู่ในกระเป๋า "ไม่อยากอิโม้"

ส่วนหนังสือพิมพ์บางฉบับอ้างคำให้สัมภาษณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลว่าเธอยากจนอยู่กับยายต้องลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้น ม.2 มารับจ้างรีดผ้า ดูแลยายพร้อมกับเรียนการศึกษานอกโรงเรียนไปด้วย

ด้านหนึ่ง "สื่อ" และผู้คนที่มีสถานภาพค่อนข้างดีในสังคม มักมองเห็นเด็กๆ ในสื่อที่ไม่ได้มาจากตระกูลดังหรือตระกูลนักธุรกิจ เป็นเด็กยากจนและ "เหยื่อ" ผู้เผชิญอุปสรรคมากมายในชีวิตให้ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ แต่ในหลายๆ กรณี นั่นคือภาพลวงตาที่ไม่ใกล้เคียงความจริง

ไลล่าในคลิปไม่ใช่เหยื่อ ถ้าเชื่อคำให้สัมภาษณ์ของเธอจากสำนักข่าวอีกแห่งหนึ่งก็คือ เธอเจ็บใจที่ "เหนียวไก่" หาย เธอจึงทำคลิปลงเฟสบุ๊คของเธอเอง และเมื่อให้แม่ดู แม่ก็ขำ ใครๆ ก็ขำ แต่เธอตกใจบ้างที่มันกลายเป็นข่าวดัง เพราะเธอไม่ได้อยากดัง

ทั้งหมดที่เธอทำลงไปในคลิป คือบ่นและต่อว่าใครก็ตามที่ขโมยเหนียวไก่ที่เธอตั้งใจซื้อมากินให้สบายใจ จริงๆแล้วเธอเป็น "ฝ่ายกระทำ" เพื่อตอบโต้ใครก็ตามที่ขโมยเหนียวไก่ เธอไม่ได้ทำคลิปด้วยความรู้สึกเก็บกดไม่มีทางต่อสู้ แต่เธอกำลังต่อสู้ด้วยการบ่นและสบถในคลิปเพื่อระบายความโกรธออกมาดังๆ ซึ่งด้านหนึ่งเป็นชัยชนะของเธอ

นั่นคือ ใครก็ตามที่ขโมยเหนียวไก่ไปกำลัง "เสียเปรียบ" เพราะถูกประจานต่อสาธารณะ แม้ไลล่าจะยังไม่สามารถรู้ได้ว่าใครก็ตามนั้นคือใคร แต่การที่ไลล่าได้ด่าว่าหัวขโมย ย่อมถือว่าได้ตอบโต้หัวขโมยแล้ว อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง

น่าสนใจว่าเหตุใดผู้คนจึงชอบคลิปของเธอแม้เธอจะสบถ? เหตุใดคำสบถของเธอ จึงมิได้ทำให้คนอื่นๆ จำนวนมากที่ได้ยิน ฟังแล้วรู้สึกหยาบคาย?

แน่นอนว่ามีคนตกใจและรังเกียจคำสบถของเธอถึงขั้นเอามือปิดปากด้วยความตกใจว่าเธอช่างหยาบคายแท้แต่คนกลุ่มหลังนี้ซึ่งดูเหมือนจะมาจากกลุ่มคนชั้นกลางในเมืองโดยเฉพาะเมืองบางกอกผู้ปรารถนาเพียงโลกแห่งความดีพร้อมอาจหลงลืมชีวิตปกติของสามัญชน ไม่เช่นนั้นก็เติบโตขึ้นมาในโลกสวยจนไม่รู้จักชีวิต

คำตอบของคำถามข้างบนนั้นอยู่ที่บริบทและสถานะของคำสบถ

ไลล่ามิได้กำลังด่ากราดเอาเป็นเอาตายหรือประกาศจะเข่นฆ่าใครให้ตายเหมือนหลายๆคลิปที่มีผู้สบถออกอากาศแช่งชักหักกระดูกหรือขู่ฆ่าคนคิดต่าง แต่เธอกำลังบ่นไปสบถไป ด้วยความขุ่นเคืองปกติในชีวิตปกติของชาวบ้าน

การบ่นของเธอเป็นเรื่อง "ขำๆและน่ารัก" สำหรับผู้ได้รับฟังคนอื่นๆ ซึ่งมิใช่ขำว่าคนบ่น "ด้อยกว่า ตลกกว่า" เหมือนคนไทยจำนวนมากชอบขำ (อย่างที่ไม่ควรขำ) กับมุกภาษา "แตกต่างที่ตลก" ของเพื่อนบ้านต่างชาติ กรณีนี้ขำเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การขโมยปกติที่ "จริงจัง" และ "เสียหาย" อย่างจริงจัง มันไม่ใช่การขโมยรถ ไม่ใช่การขโมยเงิน หากเป็นการขโมยข้าวเหนียวไก่ ซึ่งมีราคาเพียง 30 บาท

กรณีนี้ขำเพราะหน้าตาและเสียงบ่นของไลล่าที่ได้อารมณ์หงุดหงิดแบบคนเจ็บใจว่าอุตส่าห์ซื้อเหนียวไก่มากินมาแล้วอดกิน

ที่สำคัญคือภาษากลางสำเนียงใต้ที่เรียกกันว่า "ทองแดง"และอารมณ์"บ่น" ของไลล่า ซึ่งต่างจากการ "ด่าอย่างเหี้ยมเกรียม มุ่งร้ายหมายชีวิต" ทำให้คำสบถ "เหยดแหม่" กลายเป็นคำขำๆ ที่ลดทอนความรู้สึก "ด่าแม่" อย่างจริงจัง ให้เป็นความรู้สึกธรรมดาๆ สำหรับสร้อยคำอย่างธรรมดาที่คนใต้จำนวนมากใช้กันอยู่ในชีวิตปกติ

ไลล่ารู้ตัวว่าคำสบถของเธอ"หยาบคาย"สำหรับคนทั่วไปในการให้สัมภาษณ์ที่เผยแพร่ทางคลิป เธอขอโทษที่พูดคำหยาบและบอกว่าไม่คิดว่าคลิปจะเผยแพร่ไปเยอะขนาดนี้

เราไม่อาจรู้ได้ว่าไลล่าเติบโตมาอย่างไรแต่จากคลิป"เหนียวไก่หาย"และคลิปคำให้สัมภาษณ์ของเธอภายหลัง รวมทั้งจากข่าวต่างๆ ที่พอประมวลมาได้ น่าเชื่อว่าเธอเป็นเด็กสาวที่มีสติสัมปชัญญะและมีความรับผิดชอบ เธอมิได้แสดงตัวเป็นคนดัง เมื่อมีผู้ไปขอถ่ายรูปขณะเธอกำลังทำงานที่ร้านขายไก่ เธอก็บอกชัดเจนว่าเธอขอทำงานก่อน

นอกจากนั้น เธอยังมีญาติผู้ใหญ่ที่จะคอยดูแลในกรณีที่มีข่าวว่าจะมีบริษัทมือถือไปติดต่อขอให้เธอเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา

ในฐานะคนปักษ์ใต้คนหนึ่งผู้เขียนเห็นว่าสังคมปักษ์ใต้โดยทั่วไปยังคงมีความเข้มแข็งของสังคมเครือญาติ คนในครอบครัวยังดูแลกันและกันเสมอ

ปรากฏการณ์ "เหนียวไก่หาย" ไม่ได้ทำให้ไลล่าน่าเป็นห่วง และไม่ได้ทำให้สังคมไทยเสื่อมทราบลงด้วยคำสบถ "เหยดแหม่" ที่คนจำนวนมากพูดกันอยู่แล้วในชีวิตประจำวันโดยไม่มีนัยถึงการ "ด่าแม่"

ที่น่าห่วงกว่ากลับเป็นสติของคนทำสื่อและเราๆ ท่านๆ ในการเต้นตามข่าว รวมถึงบรรดาผู้โหนกระแสไลล่าที่ตามเกาะไลล่าราวกับตัวเห็บ

หากต้องการโหนกระแสกันจริงๆน่าจะช่วยกันตามหาว่าเหตุใดจึงมีการขโมยเกิดขึ้นได้ต่อหน้าต่อตาหน้าร้านเซเว่นอิเลฟเว่นกลางเมืองสตูล เพียงข้าวเหนียวไก่ยังขโมยกันได้แล้วชีวิตจะปลอดภัยหรือ

ความสนใจตามกระแสเป็นเรื่องปกติ มิใช่ความผิดหรือน่าอับอาย แต่หากรู้จักเพียงตามกระแสจนไม่เคยมองเห็นเรื่องราวใดๆ ด้วยตัวเองเลย ได้แต่วิ่งตามแห่ไปเรื่อยๆ นั้น ถือเป็นการบ่อนทำลายความสามารถของสมองชนิดหนึ่ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook