7 วิธีที่ไม่ควรทำเวลาชาร์จมือถือ ถ้าไม่อยากให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว

7 วิธีที่ไม่ควรทำเวลาชาร์จมือถือ ถ้าไม่อยากให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว

7 วิธีที่ไม่ควรทำเวลาชาร์จมือถือ ถ้าไม่อยากให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับเทคนิคการชาร์จแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟนที่ ถูกต้องนั้น เชื่อได้เลยว่า หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินหรืออ่านกันมาบ้างแล้วว่า การชาร์จแบบไหนคือการชาร์จที่ถูกวิธี หรือการชาร์จแบบไหนจะส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว และอาจถึงขั้นระเบิดได้ อีกทั้ง ยังมีอีกหลายๆ ท่านก็มีความเชื่อแบบผิดๆ เกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ โดยในวันนี้ ทีมงาน techmoblog ก็มีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ การชาร์จแบตเตอรี่บน สมาร์ทโฟน ที่ถูกต้องมาฝากกัน ซึ่งผู้ใช้ท่านใด อยากให้แบตเตอรี่บน สมาร์ทโฟน อยู่คงทนไปนานๆ "อย่า" ทำแบบนี้ขณะทำการชาร์จแบตเตอรี่โดยเด็ดขาด

อย่าชาร์จแบตจนเต็ม 100%

หลายๆ ท่านมักจะชอบชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เพราะคิดว่า เป็นการชาร์จที่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่า ถ้าหากต้องการถนอมแบตเตอรี่ ควรจะให้แบตเตอรี่อยู่ระหว่าง 30-80% จะดีกว่า เน้นชาร์จบ่อยๆ แทนการชาร์จแช่ทิ้งไว้ข้ามคืน คือวิธีการถนอมแบตเตอรี่มือถือที่ถูกต้อง

อย่าปล่อยให้แบตหมดเกลี้ยง

แบตเตอรี่แบบ Lithium Ion นั้น จะเสื่อมได้ง่ายเมื่อถูกใช้งานจนหมดเหลือ 0% ฉะนั้น ถ้าหากไม่อยากให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ไม่ควรใช้งานจนแบตเตอรี่หมดเกลี้ยงบ่อยเกินไป อย่างไรก็ดี ทาง แอปเปิล และผู้เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่ ได้แนะนำว่า ควรใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือ 0% บ้าง "แต่" ควรทำทุกๆ 1-2 เดือน ไม่ใช่ปล่อยให้แบตหมดติดต่อกันบ่อยเกินไป

อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่ร้อนจัด

ข้อนี้ นับว่าสำคัญอย่างมากเลยทีเดียว เพราะความร้อนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ความร้อนจากแสงอาทิตย์ หรืออุณหภูมิร้อนจัด ณ ช่วงเวลานั้น ซึ่ง แอปเปิล ได้แนะนำว่า ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด ทั้งกับ iPhone, iPad, iPod Touch รวมไปถึง Apple Watch จะอยู่ที่ 32-95 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 0-35 องศาเซลเซียส นอกเหนือจากความร้อนแล้ว ความเย็นก็ส่งผลทำให้แบตเสื่อมไวได้เช่นกัน ฉะนั้น หากอยู่ในช่วงอุณหภูมิที่ร้อนจัด หรือเย็นจัด ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรหยิบ iPhone ขึ้นมาใช้จะดีที่สุด

หลายๆ ท่านคงจะนึกภาพไม่ออกว่า ใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างไร ถึงปล่อยให้ตัวเครื่องร้อนได้ขนาดนั้น ยกตัวอย่างเช่น บางท่าน ลืมมือถือไว้ในรถ หรือวางไว้กลางหาดทรายตอนไปเที่ยว ซึ่งตัวผู้เขียนเอง เคยเจอประสบการณ์แบตเสื่อมมาแล้วเช่นกัน กับการเก็บมือถือที่ไม่ได้ใช้ในรถ และตอนที่เปิดเครื่อง ก็พบว่า แบตเตอรี่ได้เสื่อมไปแล้ว

อย่าชาร์จแบบไร้สายบ่อยเกินไป

จริงอยู่ที่การชาร์จแบบไร้สายนั้น สะดวกตรงที่ไม่ต้องมีสายชาร์จมาเกะกะกวนใจ แต่ก็เป็นอันตรายต่อแบตเตอรี่เช่นกัน เนื่องจากตัวแบตเตอรี่มีการสัมผัสโดยตรงกับแท่นชาร์จ ทำให้เกิดความร้อนอย่างต่อเนื่อง และส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นนั่นเอง ฉะนั้น ควรจะหลีกเลี่ยงการชาร์จแบบไร้สาย แล้วหันมาใช้สายชาร์จ หรือ Power Bank แทน จะช่วยถนอมแบตเตอรี่ให้ใช้ได้ยาวนานขึ้น

ไม่ควรใส่เคสขณะชาร์จ

หลายๆ ท่านที่ชาร์จสมาร์ทโฟน มักจะชาร์จทั้งๆ ที่ใส่เคสอยู่ แต่ทราบกันหรือไม่ว่า เคสคือตัวกักเก็บความร้อนชั้นดีขณะทำการชาร์จ เพราะปกติการชาร์จแบตเตอรี่ จะส่งผลทำให้ตัวเครื่องร้อนอยู่แล้ว ยิ่งใส่เคสเข้าไปอีกชั้น ทำให้ความร้อนไม่สามารถระบายออกได้ ทำให้แบตเตอรี่ร้อนจัด ถ้าหากทำแบบนี้บ่อยๆ ก็มีสิทธิ์ทำให้แบตเสื่อมไวได้เช่นกัน

ก่อน Backup ข้อมูล ต้องมั่นใจว่า มีแบตเพียงพอ

ไม่ว่าจะเป็นการ Backup หรือการอัปเดต iOS ปกติแล้ว ถ้าหากแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50% จะมีข้อความแจ้งเตือนให้ทำการเสียบสายชาร์จ หรือชาร์จแบตเตอรี่เสียก่อน จึงจะสามารถอัปเดตได้ เนื่องจากการอัปเดตหรือ Backup เหล่านี้ สูบพลังงานแบตเตอรี่ไปพอสมควร ถ้าหากมีแบตไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลให้ตัวเครื่องดับ และมีผลเสียต่อแบตเตอรี่เช่นกัน หลายๆ ท่านมักจะอัปเดตทิ้งไว้ โดยที่ไม่รู้ตัวว่า แบต iPhone หมดไปแล้ว และการปล่อยให้แบตเตอรี่หมดเป็นเวลานานๆ นั้น ทาง แอปเปิล จะเรียกสถานะนี้ว่า "deep discharge state" ซึ่งจะส่งผลทำให้ตัวเก็บประจุไฟไม่ทำงาน และไม่สามารถเก็บประจุไฟขณะชาร์จได้นั่นเอง

ใช้ที่ชาร์จของปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน

ที่ชาร์จของแอปเปิล จะถูกออกแบบให้มีตัดกระแสไฟเข้าเมื่อมีการชาร์จเต็ม 100% แต่ถ้าหากเป็นที่ชาร์จของปลอม หรือไม่ได้มาตรฐาน จะไม่มีฟังก์ชันตัวนี้ และส่งผลทำให้แบตเตอรี่ร้อนตลอดเวลา เสื่อมเร็วขึ้น อีกทั้ง ยังเสี่ยงต่อการระเบิดอีกด้วย ถึงแม้ว่า ที่ชาร์จของแท้จากแอปเปิล จะมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่น แต่ก็คุ้มที่จะลงทุนซื้อ เพื่อความปลอดภัยต่อทั้งตัวผู้ใช้ และอุปกรณ์เองอีกด้วย

 

อยากถนอมแบตเตอรี่บน iPhone รวมไปถึงสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ให้ใช้งานได้ยาวนาน ลองทำคำแนะนำข้างต้นไปปรับใช้กันดูนะครับ


ที่มา : thrillist.com

แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook