5+1 บังเกอร์หลบภัยสงครามนิวเคลียร์ที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ (ถ้าเงินถึง)

5+1 บังเกอร์หลบภัยสงครามนิวเคลียร์ที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ (ถ้าเงินถึง)

5+1 บังเกอร์หลบภัยสงครามนิวเคลียร์ที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ (ถ้าเงินถึง)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ช่วงนี้ท่าทีของประเทศมหาอำนาจกำลังตึงเครียดเข้าขั้นวิกฤติ แต่ละฝ่ายต่างก็โชว์แสนยานุภาพทางทหารกันแบบไม่มีใครยอมใครและไม่มีทีท่าว่าจะตั้งโต๊ะเจรจากันได้ง่ายๆ ที่น่ากลัวก็คือทุกประเทศที่ว่านี้ล้วนมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในมือและพร้อมจะยิงได้ทุกเมื่อ

หลายคนดูข่าวแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กันเพราะหากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมาจริงๆ คงเละกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาแน่ๆ และเราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากหาบังเกอร์หลบภัยไว้แต่เนิ่นๆ ข่าวดีก็คือบังเกอร์เหล่านี้มีขายและสามารถสร้างได้เอง (ถ้าเงินถึง) และในวันนี้เราก็ได้นำ 5+1 สุดยอดบังเกอร์หลบภัยสำหรับวันสิ้นโลกที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้มาให้ชมกันครับ

1. คอนโดหรูสู้ทุกมหันตภัยใน Kansas

1

ถ้าบังเกอร์ใต้ดินธรรมดาๆ มันแคบและซอมซ่อเกินไป และคุณรับไม่ได้กับการต้องใช้ชีวิตหลังวันสิ้นโลกอย่างจืดชืด คอนโดสุดหรูใต้ดินใน Kansas อาจเป็นสิ่งที่เหมาะกับคุณมากกว่าครับ

2

คอนโดที่ว่านี้สร้างขึ้นโดยดัดแปลงจากฐานยิงจรวดมิสไซล์สมัยสงครามเย็นที่เลิกใช้งานแล้ว ในส่วนของโพรงเก็บจรวดถูกดัดแปลงให้เป็นคอนโดสุดหรูหลายชั้น เพียบพร้อมทุกสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ โรงหนัง และห้องสมุด ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็หายห่วง เพราะ Larry Hall เจ้าของโครงการกล้าการันตีว่าไม่มีอะไรมาทำอันตรายคอนโดใต้ดินนี้ได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภัยก่อการร้าย โรคระบาด สงครามนิวเคลียร์ หรือจะเป็นเปลวสุริยะ (Solar flare) ก็ไม่หวั่น เพราะมีการปกป้องด้วยกำแพงคอนกรีตหนา 9 ฟุต และอยู่ลึกลงไปใต้ดินถึง 53 เมตร ต่อให้โลกลุกเป็นไฟผู้อยู่อาศัยทุกคนจะนอนหลับได้อย่างสบายไร้กังวลแน่นอน

3

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของคอนโดหลบภัยสุดหรูได้ในราคาเริ่มต้นประมาณ 241 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าทุกห้องจะเต็มแล้วในตอนนี้ คงต้องรอเฟสต่อไปแล้วล่ะครับ

2. Atlas Survival Shelter

4

ถ้าคอนโดใต้ดินเมื่อกี้แพงไป ก็ยังมีบังเกอร์หลบภัยแบบบ้านๆ ให้เลือกเช่นกัน ขอแนะนำให้รู้จักกับ Atlas Survival Shelter บังเกอร์สำเร็จรูปที่ทนทานวางใจได้ ในราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาทนิดๆ ถูกกว่าคอนโดข้างบนเยอะเลย

5

6

Atlas Survival Shelter เป็นบังเกอร์ทรงท่อสำเร็จรูปสำหรับฝังไว้ใต้ดิน 6 เมตรขึ้นไป แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่มากแต่ภายในกลับมีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าที่คิด โดยมาพร้อมกับเตียงที่เก็บของได้, ช่องทางหลบหนีฉุกเฉิน, ห้องเก็บของ, ครัวพร้อมซิงค์ล้างจาน, หลอดไฟแรงดันต่ำ และห้องน้ำ หากยังไม่พอใจสามารถเพิ่มออพชันเป็นทีวีจอแบน, วิทยุ, กล้องวงจรปิด, ถังเก็บน้ำขนาด 300-5000 แกลลอน, ถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 100-500 แกลลอน, เครื่องเล่น DVD, จักรยานปั่นไฟ, ตู้เก็บของและเตียงไม้เร้ดโอ๊คอย่างดี, แผลโซลาร์เซลล์ และอื่นๆ สเปกครบครันไม่แพ้บังเกอร์แพงๆ เลยทีเดียว ใครที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ : Atlas Survival Shelter 
 

3. Silohome

7

ในสมัยสงครามเย็น รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สร้างฐานยิงจรวดเอาไว้นับร้อยทั่วประเทศเพื่อคอยรับมือกับการโจมตีจากประเทศคอมมิวนิสต์ แต่สุดท้ายการโจมตีเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น (ซึ่งดีแล้ว) ฐานยิงจรวดจึงถูกทิ้งร้างและเต็มไปด้วยน้ำขัง แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้ให้ไร้ประโยชน์ Bruce Francisco และ Gregory Gibbons ได้เปลี่ยนฐานร้างใกล้ทะเลสาบ Placid ในสวนป่า Adirondack ให้เป็นบ้านพักสุดหรูท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นแนวคันทรี่ชนิดที่ว่าใครเห็นเป็นต้องอิจฉา

แต่ทีเด็ดที่แท้จริงของบ้านหลังนี้คือบังเกอร์ใต้ดิน 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมห้องนั่งเล่นและห้องครัว ซึ่งดัดแปลงมาจากห้องควบคุมการยิงจรวดเก่า นอกจากนี้ยังมีปล่องจรวดโล่งๆ ลึกลงไปอีก 9 ชั้นซึ่งมีพื้นที่กว่า 1,114 ตารางเมตร เป็นพื้นที่เอนกประสงค์ที่เอาไปทำอะไรได้หลายอย่างและเป็นบังเกอร์หลบภัยชั้นดี นอกจากนี้ยังมีที่ดินรอบๆ อีก 20 เอเคอร์ ทั้งหมดนี้คุณสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคา 60 ล้านบาทครับ

 4. บ้านใต้ดินของ Henderson

8

บ้านเลขที่ 3970 ถนน Spencer ใน Las Vegas ดูเหมือนบ้านแบบอเมริกันทั่วๆ ไปเมื่อมองจากภายนอก แต่ที่น่าสนใจก็คือสิ่งที่อยู่ใต้บ้านหลังนี้ ซึ่งก็คือบังเกอร์ใต้ดินขนาด 1,412 ตารางเมตร

9

บ้านหลังนี้สร้างโดยนักธุรกิจ Girard “Jerry” B. Henderson ในยุค 1970 ทำให้มันถูกตกแต่งในสไตล์ยุค 70 ไปด้วยทั้งห้องครัวและห้องน้ำสีชมพู หญ้าปลอม ต้นไม้ปลอม และยังวาดกำแพงให้เป็นทิวทัศน์ราวกับอยู่ท่ามกลางหุบเขาในชนบทอีกด้วย

10

เพื่อไม่ให้การใช้ชีวิตหลังสงครามนิวเคลียร์เปลี่ยวเหงา บ้านหลังนี้ยังมีสวน (ปลอม) ไว้ให้ทำกิจกรรมสันทนาการกันด้วย ทั้งหลุมพัตกอล์ฟ 4 หลุม สระว่ายน้ำ อ่างน้ำร้อน ซาวน่า แดนซ์ฟลอร์ บาร์ เตาปิ้ง BBQ และไฟที่สามารถเซ็ตให้เป็นบรรยากาศแบบกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ หากเซ็ตเป็นกลางคืนยังมีดาวให้ดูด้วย

หลังจากที่ Henderson และภรรยาเสียชีวิตในช่วงปี 1980 บ้านหลังนี้ตกเป็นของญาติ และสุดท้ายบ้านหลังนี้ก็ถูกธนาคารยึดไป และขายทอดตลาดในราคา 60 ล้านบาท

 5. The Everything-Resistant House

11

บ้านหรูหลังนี้ตั้งอยู่ที่ Hollywood Hills กำแพงสีขาวตกแต่งด้วยภาพเขียนวิจิตรสวยงาม มองออกไปทางหน้าต่างเห็นวิวเมือง Los Angeles ดูเผินๆ ก็บ้านหรูธรรมดาแต่เอาเข้าจริงแล้วบ้านหลังนี้น่าจะเรียกว่าป้อมปราการมากกว่า เพราะบ้านหลังนี้มีชื่อว่า "The Everthing-Resistant House" หรือ "บ้านที่ป้องกันได้ทุกอย่าง" โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสุดยอด ประตูทุกบานล็อคด้วยระบบ biometric เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กลึก 30 ฟุตพร้อมรับมือแผ่นดินไหว และในบ้านยังมีห้องนิรภัยสุดกว้างขวางขนาด 232 ตารางเมตรที่ป้องกันขีปนาวุธได้ทุกประเภท แข็งแกร่งชนิดที่ว่าเจออะไรก็ไม่สะเทือนเลยทีเดียว

12

13

เหตุผลที่บ้านหลังนี้สุดจะแข็งแกร่งนั้นก็เพราะมันเป็นบ้านของ Al Corbi ผู้ก่อตั้งบริษัท SAFE (Strategically Armored Fortified Environments) ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยระดับโลกนั่นเอง หากใครเงินเหลือและอยากได้บ้านแบบนี้บ้าง ทาง SAFE สามารถสร้างให้คุณได้ ในราคา 1,400 ล้านบาท

 6. อุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์

14

อันดับที่ 6 เป็นบังเกอร์ที่ไม่ได้มีไว้ขายและไม่ได้มีไว้สำหรับมนุษย์ แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความอยู่รอดของมนุษย์เช่นกัน เพราะหากมนุษย์รอดจากสงครามนิวเคลียร์ แต่ต้นไม้พืชพันธุ์ทั้งหลายบนโลกกลับถูกเผาผลาญจนสูญพันธุ์ไปสิ้นก็คงไม่มีความหมายอะไร ด้วยเหตุนี้ อุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์ (Svalbard Global Seed Vault) จึงถือกำเนิดขึ้นมาครับ

อุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์ เป็นบังเกอร์นิรภัยที่มีไว้เพื่อเก็บตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ของพืชทั้งหมดบนโลกนี้เท่าที่จะรวบรวมมาได้ เพื่อให้รอดพ้นจากมหันตภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เกาะ Arctic Svalbard ในประเทศนอร์เวย์ ห่างจากขั้วโลกเหนือเพียง 1,300 กิโลเมตรเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือสถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเรือโนอาห์ของเหล่าพืชพันธุ์นั่นเอง

16

 

โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือ 3 ฝ่าย ได้แก่รัฐบาลนอร์เวย์ กองทุนความหลากหลายแห่งธัญพืชของโลก (Global Crop Diversity Trust) และศูนย์ข้อมูลพันธุกรรมแห่งนอร์ดิก (Nordic Genetic Resource Center) ใช้ทุนสร้างราว 300 ล้านบาท และยังได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการดูแลจากหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร, นอร์เวย์, ออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์ และสวีเดน ไปถึงประเทศที่กำลังพัฒนา 4 ประเทศอย่าง บราซิล, โคลอมเบีย, เอธิโอเปีย และอินเดีย

แม้ว่าบางคนอาจจะโชคดีหนีภัยสงครามนิวเคลียร์ลงไปอยู่ในบังเกอร์ใต้ดินได้ แต่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่บนโลกคงไม่โชคดีแบบนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามสงครามไม่ควรเกิดขึ้นอีกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ สุดท้ายนี้ก็หวังว่าสันติภาพจะอยู่กับเราต่อไปครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook