Apple ยกเลิกนโยบายการคืนเครื่องในฮ่องกงอีกรอบ กันพ่อค้าหัวใสกว้านซื้อ iPhone 8 ไปขายต่อ

ปกติแล้ว Apple ขึ้นชื่อในเรื่องของบริการหลังการขาย กับนโยบายการเปลี่ยนเครื่องทั้ง iPhone และ iPad รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ถือว่า เป็นจุดแข็งของบริษัท

ซึ่งลูกค้าสามารถคืนหรือเปลี่ยนเป็นเครื่องใหม่ได้ภายใน 14 วันหลังจากที่ซื้อไป แม้ว่าตัวเครื่องจะมีรอยขูดเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ล่าสุด นโยบายการเปลี่ยนเครื่องนี้ ไม่สามารถใช้กับ Apple Store ในฮ่องกงได้แล้ว เมื่อทาง Apple ได้มีการปรับเปลี่ยนใหม่ด้วยการยกเลิกนโยบายการเปลี่ยนและคืนเครื่อง มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

Apple Store ฮ่องกง ที่ตึก IFC

โดยนโยบายใหม่นี้ ได้ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ Apple ในประเทศฮ่องกง ซึ่งระบุว่า ผลิตภัณฑ์ Apple ทั้งหมดที่ซื้อจาก Apple Store ฮ่องกง ไม่สามารถเปลี่ยนหรือคืนเงินได้ เว้นเสียแต่ว่า ผลิตภัณฑ์นั้นมีข้อบกพร่องด้านการใช้งาน โดยเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพราะการมาของ iPhone 8 และมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พ่อค้าและร้านค้าต่าง ๆ กว้านซื้อ iPhone 8 ไปเก็บสต็อก ซึ่งปกตินโยบายการคืนเครื่องทั่วไปของ Apple นั้น ร้านค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์จาก Store มากเท่าไหร่ก็ได้ และสามารถนำมาคืนได้ในกรณีที่ขายไม่หมด

สำหรับนโยบายการคืนเครื่อง iPhone และผลิตภัณฑ์ Apple อื่น ๆ ในฮ่องกงนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบาย โดยเมื่อปีที่แล้ว ได้มีการเปลี่ยนนโยบายไปแล้วรอบหนึ่ง หลังจากที่ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ได้มีการลักลอบเข้าไปขายในประเทศจีนแบบผิดกฎหมาย ทำให้ Apple ต้องออกนโยบายใหม่ ไม่สามารถเปลี่ยนหรือคืนผลิตภัณฑ์ที่มีโลโก้ Apple ได้ตามนโยบายการซื้อสินค้าของ Apple Store ถึงแม้ว่าจะมีใบเสร็จรับเงิน และกล่องแพ็กเกจยังสมบูรณ์อยู่ก็ตาม ซึ่งนโยบายนี้ เป็นการขัดขวางไม่ให้มีการนำ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ไปขายต่อที่ประเทศจีนแบบผิดกฎหมายนั่นเอง

ส่วน iPhone 8 ที่คาดว่า น่าจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้นั้น เบื้องต้นคาดว่า จะมีการวางจำหน่ายในจำนวนจำกัด เนื่องจากไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการ จึงทำให้ iPhone 8 เป็นที่ต้องการในหมู่พ่อค้าและร้านค้า ที่จ่อกว้านซื้อมาเก็บสต็อกและขายในราคาที่สูงกว่าปกติ

ซึ่งนโยบายใหม่นี้ รวมถึงการจำกัด 1 คนต่อ 1 เครื่อง อาจจะช่วยป้องกันไม่ให้ทางร้านค้าเก็บสต็อกไว้ได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ก็มีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยที่จ้างให้คนไปยืนต่อแถวซื้อ และจ่ายค่าเสียเวลาให้ ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ฮ่องกงเพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่เกือบจะทุกแห่งทั่วโลก รวมถึงในสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน