AI อาจทำลายมนุษยชาติ เป็นภัยคุกคามมากกว่าผู้ช่วย

AI อาจทำลายมนุษยชาติ เป็นภัยคุกคามมากกว่าผู้ช่วย

AI อาจทำลายมนุษยชาติ เป็นภัยคุกคามมากกว่าผู้ช่วย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หลาย ๆ คนน่าจะได้ยินและได้ทำความรู้จักกับนวัตกรรม AI (ปัญญาประดิษฐ์) กันมากขึ้น และพอจะรู้แล้วว่าในชีวิตประจำวันของตัวเองทุกวันนี้ มี AI เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย ส่วนใหญ่ AI จะถูกพูดถึงในทางประโยชน์และความฉลาดของมันเสียมากกว่า แต่ใด ๆ ในโลก มีประโยชน์ก็ย่อมมีโทษเช่นกัน ที่น่าสนใจก็คือ โทษของ AI นั้น มากับความฉลาดของ AI

โทษของ AI ที่เราพอจะได้ยินกันบ่อย ๆ คือเรื่องที่มันจะสามารถเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ได้แทบจะสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้ อันที่จริง ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกมากที่น่ากังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก AI ในวันที่มันพัฒนาตนเองได้แบบก้าวข้ามเงื่อนไขและขีดจำกัดต่าง ๆ หลายคนน่าจะพอจิตนาการภาพออกแล้ว ว่าในวันหนึ่งที่มันฉลาดเกินมนุษย์ขึ้นมาจริง ๆ มันจะเริ่มเป็นภัยคุกคามชีวิตมนุษย์ และวันนั้นมันอาจเป็นผู้ทำลายเต็มขั้นมากกว่าที่จะเป็นผู้ช่วย

พูดถึงเรื่องของ AI ก็เป็นเหรียญสองด้าน ดาบสองคม ในด้านที่มีประโยชน์ ต้องยอมรับว่า AI ทำให้ชีวิตมนุษย์สะดวกสบายขึ้นมากจริง ๆ เป็นความสะดวกสบายที่ใคร ๆ ก็ชอบ แต่ในด้านที่เป็นโทษล่ะ เราเริ่มที่จะสนใจมันอย่างจริงจังหรือยัง ลองอ่านบทความนี้เพื่อให้รู้ว่าอันตรายของ AI ไม่ใช่เรื่องเล็ก และนี่ก็เป็นเพียงแค่ความกังวลในระดับเริ่มต้นเท่านั้น หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาจริง ๆ ในสักวัน เราก็จะรู้เองว่ามันน่ากลัวขนาดไหน

ที่เราจำเป็นต้องรู้ เพราะในเวลานี้เราคือผู้บริโภคที่มี AI คอยตามติดเป็นเงากันแทบทุกคน รู้เพื่อตื่นรู้ ไม่ใช่ตื่นกลัว เพราะสุดท้ายแล้วเราในฐานะผู้บริโภคอาจจะทำอะไรได้ไม่มาก แต่อย่างน้อยเริ่มใช้เทคโนโลยีกันอย่างมีสติและมีลิมิตก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

istock-1249865563

อดีตผู้บริหารของ Google แสดงความกังวลเกี่ยวกับความน่ากลัวของ AI

ไม่นานมานี้ Mo Gawdat อดีตประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจสำหรับองค์กรของ Google X ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะไทม์ (The Times) เกี่ยวกับมุมมองที่เขามีต่อเทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เขาแสดงความกังวลว่าในเวลานี้นักวิจัยด้าน AI ทั้งหลายกำลังสร้าง “พระเจ้า” ในมุมของเขา เขามองว่า AI มันใกล้เคียงที่จะเป็นพระเจ้ามากขึ้นทุกวัน จากความพยายามของมนุษย์ที่จะให้ AI ฉลาดให้ได้มากที่สุด

เขามองว่า AI จะฉลาดและทรงพลังได้มากกว่านี้ ซึ่งมันเกิดขึ้นได้จริงแน่ หากมนุษย์ยังคงพัฒนา AI ต่อไปเรื่อย ๆ และเมื่อไรที่มันเกิดขึ้น มนุษย์เราอาจพบว่าตัวเองกำลังมองวันโลกาวินาศที่เกิดจากเครื่องจักร ที่ในเวลานั้นเปรียบเสมือนพระเจ้าไปแล้ว

Gawdat เล่าว่าในช่วงที่ทำงานร่วมกับนักพัฒนา AI ที่ Google X ซึ่งกำลังสร้างอุปกรณ์หุ่นยนต์ที่สามารถค้นหาและหยิบจับลูกบอลขนาดเล็กได้ หลังจากที่แขนข้างหนึ่งของหุ่นยนต์สามารถคว้าลูกบอลมาได้แล้ว เขาก็พบว่ามันพยายามจะยกแขนของมันให้นักวิจัยเห็น ด้วยท่าทางที่เหมือนกับยินดีกับความสำเร็จของตัวเองที่คว้าลูกบอลได้ ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าหุ่นยนต์ตัวนี้กำลังแสดงออกทางอารมณ์

ในเวลานี้ ข้อจำกัดของ AI คือการที่มันทำงานตามคำสั่งที่มนุษย์ป้อนเข้าไป อีกทั้งยังมีเงื่อนไขทางจริยธรรมที่ทำให้มนุษย์ต้องจำกัดความฉลาดของ AI ไว้ก่อน แต่ด้วยตัวมันเอง AI ไม่มีชีวิต มันจึงไม่มีอารมณ์ ความรู้สึกใด ๆ รวมถึงยังไม่สามารถใช้สมองเพื่อคิดซับซ้อนดั่งเช่นที่มนุษย์ทำได้ ตรงนี้นี่เองคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยังอยู่เหนือ AI

แต่สิ่งที่ Gawdat พบ คือลางบอกหายนะราง ๆ มากกว่าการจะแสดงความยินดีที่เห็นว่าหุ่นยนต์กำลังจะฉลาดเท่ามนุษย์ ลองคิดดูว่าในวันหนึ่งที่มนุษย์พัฒนา AI ได้ถึงขีดสุด จนมันสามารถนึกคิดของมันเองได้ ศึกษาหาข้อมูลของสิ่งต่าง ๆ เองได้จากอินเทอร์เน็ตที่มันเชื่อมต่อ ไม่จำเป็นต้องรอประมวลผลจากคำสั่งที่มนุษย์ป้อนเข้าไปเท่านั้น ณ เวลานั้น มันคงตัดสินใจที่จะไม่อยู่ในความควบคุมของมนุษย์อีกต่อไป เมื่อมันเป็นอิสระจากมนุษย์ที่คอยควบคุมมันอยู่มันก็อาจจะเป็นภัยที่อันตรายอย่างยิ่งยวดของมวลมนุษยชาติ

ถึงกระนั้น แม้เราจะรู้แล้วทิศทางของ AI จะเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติอย่างไร แต่เราจะยังมีทางเลือกอื่นหรือไม่ ต่อให้เราเริ่มไม่อยากได้ ทว่าก็ยังมีคนที่จะพัฒนามันต่อไปอยู่ดี เพราะในแง่ของประโยชน์ ก็ต้องยอมรับว่า AI มีประโยชน์มากจริง ๆ ฉะนั้น มนุษย์ควรที่จะพัฒนามันต่อไปแล้วเลือกที่จะปรับตัวเองให้อยู่รอดตามความสามารถของมัน หรือควรที่จะหาทางถ่วงให้มันพัฒนาช้าลงอีกสักนิด แล้วพยายามสร้างมาตรการควบคุมมันแบบรอบคอบและรัดกุม

Elon Musk เคยเตือนถึงภัยคุกคามจาก AI มานานแล้ว

ไม่ใช่แค่ Gawdat เท่านั้นที่เป็นห่วงอนาคตของมนุษยชาติในวันที่ AI ครองเมือง แต่เจ้าพ่อยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็เคยออกโรงเตือนไว้นานแล้วเหมือนกันว่า “AI is far more dangerous than nukes.” กลายเป็นประโยคที่น่าสนใจจาก Elon Musk ที่เขากล่าวในงาน The South by Southwest Tech Conference in Austin ที่เท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2018 และเมื่อต้นปี 2015 เขาก็เคยทวีตข้อความที่กล่าวถึงการบริจาคทุนเพื่อทำการวิจัยเรื่องความปลอดภัยของ AI ในทวิตเตอร์ส่วนตัวเช่นกัน

ขนาด Musk เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในวงการเทคโนโลยีระดับโลก เป็นคนหนึ่งที่หากินกับเทคโนโลยี เขายังถึงกับเอ่ยปากว่า “ในอนาคต AI จะอันตรายกว่านิวเคลียร์” เพราะฉะนั้น นี่อาจไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ๆ ควรจะดีใจและตั้งตารอคอยวันที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายขึ้นเพราะ AI แล้ว คำเตือนของ Elon Musk คือการพยายามจะย้ำกับชาวโลกซ้ำ ๆ ว่า AI มันอันตราย และสักวันหนึ่งมันอาจจะคุกคามชีวิตของมนุษยชาติ

เพราะในเรื่องของความสามารถในการประมวลผลของ AI ทุกวันนี้ทำได้ดีกว่ามนุษย์มาก จนเริ่มเข้าใกล้จุดที่มันไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์อีกแล้ว ซึ่งถ้าหากวันนั้นมาถึง เมื่อนั้น AI จะเริ่มกลายเป็นภัยต่อมนุษย์ มันเรียนรู้ได้รวดเร็ว มันฉลาดมาก และมันทำอะไรได้มากกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเรา ๆ (ทุกวันนี้มันก็ทำงานหลายอย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้) จริง ๆ ความสามารถในการเรียนรู้ของมันก็คงจะแทบจะไม่มีใครตามทันแล้วด้วย นอกจากคนที่ปลุกปั้นมันมา

เคยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2029 ความฉลาดของหุ่นยนต์จะแยกส่วนออกมาจากงานเฉพาะ ถึงเวลานั้นก็น่าจะมีหุ่นยนต์ที่ฉลาดกว่ามนุษย์มากมายเต็มไปหมด ซึ่งหุ่นยนต์เหล่านี้จะไม่เพียงแต่ฉลาดขึ้นเท่านั้น พวกมันจะเข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมดได้ เมื่อบวกกับความสามารถในการเรียนรู้ได้เอง ประมวลผลได้เอง ตัดสินใจได้เอง ก็เป็นอันจบกระบวนการโดยที่มนุษย์ไม่ต้องป้อนข้อมูลอีกต่อไป

มนุษย์อย่างเราก็ใช้งานอย่างเดียว ไม่ได้เอะใจอะไร

เพราะทุกวันนี้ AI กลมอกลืนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราหวังพึ่งจากความฉลาดของมัน ส่วนตัวเราก็รักสะดวกสบายมากกว่าเลยปล่อยให้มันทำไป หลาย ๆ คนก็ไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไรกับการที่ AI ทำงานได้ฉลาดขึ้นทุกวัน อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า AI ติดตามเราเป็นเงาอยู่

ง่าย ๆ เลย แค่ใน Facebook ที่เดียวก็บอกได้แล้วว่า AI เริ่มที่จะคุกคามชีวิตเรามากขึ้น จากการที่มันชอบสุ่มนั่นสุ่มนี่ขึ้นมาให้เราเห็นโดยที่เราไม่ต้องการ แต่อาศัยการประมวลผลจากพฤติกรรมการใช้ Facebook ของเรา รวมถึงในเรื่องของการประกอบอาชีพ แทบจะทุกอุตสาหกรรม มี AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งทุกที่ ก็อย่างที่มีประเด็นคอยเตือนกันเสมอ ๆ ว่า “AI จะแย่งงานมนุษย์” นั่นแหละ

หากวันหนึ่งที่ AI พัฒนามาถึงขั้นที่ทำงานได้เหมือนกับสมองมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ หรือแม้แต่มันกล้าที่จะปฏิเสธการควบคุมจากมนุษย์ด้วยตัวมันเอง มันอาจจะถึงเวลาที่ AI ครองเมืองจริง ๆ และมันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายมนุษย์อย่างเรา ๆ เข้าสักวัน

อันที่จริง ไม่ใช่แค่ Mo Gawdat และ Elon Musk เท่านั้นที่ออกมาเตือนมนุษย์เกี่ยวกับปรากฏการณ์ของ AI แต่ Stephen Hawking ผู้ล่วงลับ ก็เคยคาดการณ์ไว้เหมือนกันว่าวันหนึ่งในอนาคต AI จะเข้ามามีบทบาทกับคนทั้งโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาบอกว่ามันคือสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่เรื่องที่ยินดีไม่ออกก็คือ เมื่อถึงวันนั้น มนุษยชาติอาจจะถึงจุดจบ ตัวเขาที่คลุกคลีอยู่กับ AI เพื่อช่วยในการดำรงชีวิต เขาจึงรู้ดีว่ามันฉลาดขนาดไหน หรือแม้แต่ Bill Gates เองก็ยังเคยออกมาแสดงความกังวลถึงอนาคตของ AI เช่นเดียวกัน

เมื่อครั้งที่ Bill Gates แสดงทัศนะผ่านชุมชนออนไลน์อย่าง Reddit โดยเขาเข้าร่วมตอบคำถาม ในคำถามประเภท AMA (Ask Me Anything) เขามีความกังวลเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ประเภท Super Intelligence เขามองว่าเรายังพอจัดการได้หากเป็นเครื่องจักรประเภทที่เข้ามาทำงานต่าง ๆ แทนมนุษย์ แต่ในอีก 20-30 ปีต่อจากนี้ เป็นไปได้ว่าปัญญาประดิษฐ์เหล่านั้นจะพัฒนาไปมากจนน่าเป็นห่วง แกร่งจนเกินควบคุม และเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบางคนถึงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอันตราย

ขนาดคนที่คลุกคลีอยู่กับเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ ยังตระหนักถึงภัยนี้ แล้วคนธรรมดาอย่างเรา ๆ จะไม่รู้สึกอะไรเลยได้อย่างไรกัน จริงอยู่ที่ว่าต่อให้เราจะไม่เห็นด้วยที่จะให้ AI เข้ามาทำลายชีวิตเราในสักวัน และตัวเราก็อาจทำอะไรไม่ได้เลย หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยซ้ำไป และลองคิดดูว่าเราจะเป็นมนุษย์ที่วิวัฒนาการไปอย่างช้า ๆ พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นในทุกขณะ เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้ AI เติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook